7 เรื่องที่ควรรู้ก่อนชมซากุระที่ญี่ปุ่น 2567

บทความนี้เป็น Advertorial PR Content

1. กฎเหล็กของการชมซากุระ


หลายคนอาจจะคิดแค่ว่า “ไปดูซากุระ แล้วทำอะไรต่อดีนะ” เราอาจจะคิดไปคิดมาจนลืมไปว่า นอกจากเราจะคำนึงว่าเราจะไปทำอะไรบ้าง ก็ยังมีเรื่องที่เราต้องคำนึงถึงด้วยว่า “อะไรที่ไม่ควรทำ” เช่นกัน โดยกฎเหล็กสามข้อที่เราควรกระหน่ำท่องให้ขึ้นใจได้แก่


อย่างแรกเลยซึ่งสำคัญมากๆคือห้ามจับหรือเด็ดดอกไม้ลงมาเด็ดขาด! ถึงแม้ว่าดอกซากุระสีชมพูระเรื่อจะสวยจนน่าสัมผัสขนาดไหน
ก็ต้องปล่อยให้เขาบานสะพรั่งอยู่บนต้นของเขาเช่นนั้น เพราะดอกซากุระจะร่วงภายใน 1-2 อาทิตย์ ถือว่าเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆที่เราจะได้ชื่นชมดอกไม้สีชมพูเหล่านี้ แต่ถ้าหากซากุระจะต้องมาช้ำด้วยฝีมือของนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ระยะเวลา 1-2 อาทิตย์นี้ก็จะถูกตัดสั้นลงเรื่อยๆทุกครั้งที่ซากุระโดนเด็ดลงมา หรือแม้กระทั่งการโดนสัมผัสก็ตาม


อย่างที่สอง อย่าลืมเก็บขยะไปทิ้งในบริเวณที่จัดเอาไว้ให้ อาจจะฟังเป็นเรื่องน่าเบื่อ จำเจ ฟังบ่อยครั้งนับไม่ถ้วนกับเรื่องการเก็บขยะให้ถูกที่ถูกทาง แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญจริงๆ ถ้าหากลองนึกภาพดูว่า มองไปบนฟ้าเห็นซากุระ แต่พอเลื่อนสายตาลงมากลับเจอขยะเต็มไปหมด ก็คงเป็นภาพที่ไม่น่าดูเลย


อย่างสุดท้าย ดื่มได้ แต่อย่าหนัก! เป็นที่รู้กันว่าเทศกาลฮานามิ (เทศกาลการชมซากุระที่ประเทศญี่ปุ่น) ผู้คนมากมายจะจัดเตรียมข้าวกล่องเบ็นโตะและสาเกมาเพื่อร่วมเฉลิมฉลองกัน ดื่มแค่พอให้สนุก ถ้าเมาปลิ้นก็คงไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่

 

 

2. วางแผนยังไงดีให้ได้ดูซากุระสมใจ


ที่สำคัญมากๆเลยคือ เช็คให้ดีว่าซากุระจะบานช่วงไหน นอกจากจะหาดูพยากรณ์ซากุระแล้ว เราก็สามารถเช็คว่าซากุระจะบานเมื่อไหร่ได้ที่นี่ เพราะส่วนใหญ่แล้ว ร้านค้าและบริษัทเองก็จะเล่นกับเทรนด์ของดอกซากุระเช่นกัน มันอาจจะทำให้เราได้ข้อมูลที่ไวกว่าคนอื่นๆ ยิ่งถ้ามีคนรู้จักอยู่ที่ญี่ปุ่นก็อย่ารอช้า ถามเขาได้เลยอย่างไม่ต้องลังเล และต้องรีบตัดสินใจให้ไวด้วยว่าเราอยากไปดูซากุระที่ไหน จังหวัดอะไร ยิ่งรู้ไว ยิ่งจองตั๋วเครื่องบินได้ไวขึ้น ซึ่งหมายความว่า เราจะประหยัดค่าเครื่องบินมากกว่าเดิม เพราะตั๋วเครื่องบินจะแพงขึ้นเมื่อเข้าช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ถ้าหากใครรู้ตัวว่า กระเป๋าสตางค์ตัวเองฉีกอยู่ ก็รีบเตรียมตัวได้เลย ก่อนจะต้องกินมาม่าไปทั้งเดือนเพราะค่าเครื่องที่แพงหูฉี่ ส่วนกิจกรรมที่อยากจะทำก็ค้นหากันไปล่วงหน้าก่อนได้เลย จะได้ไม่ฉุกละหุก

 

 

3. ฝนตกแล้วยังไง?


ถึงจะเป็นหน้าร้อน ก็ยังมีโอกาสที่ฝนจะตกอยู่ดี! แต่เราจะปล่อยให้ฝนกลายเป็นเรื่องใหญ่มาขัดขวางทริปของเราก็คงจะไม่ได้ เตรียมรับมือกับฝนโดยการคิดแผนสำรองเอาไว้ก็ถือว่าไม่เสียหายอะไร และคงใช้เวลาในการหาข้อมูลไม่มากนัก ตัวอย่างเช่น ถ้าหากเราไปดูซากุระที่แม่น้ำเมกุโระ ย่านนั้นก็จะมีร้านอาหารและคาเฟ่เยอะแยะมากมายให้เราได้ลิ้มลอง นอกจากจะได้กินมื้ออร่อยแล้ว ก็ยังจะได้ชมซากุระอยู่อีกด้วย ร้านอาหารและคาเฟ่ก็เป็นตัวเลือกที่ดีไม่น้อยเลยสำหรับการหลบฝนเมื่อจำเป็น

เลือกร้านอาหารในโตเกียว

 

 

4. นี่ดอกซากุระ หรือ ดอกบ๊วย?


ถ้าเกิดเราไปดูซากุระ ระหว่างเดินทาง “อ้าว นี่ไง ต้นไม้ดอกสีชมพู ซากุระแน่ๆ” เราก็หยุดเดินพร้อมถ่ายรูปคู่ หารู้ไม่ว่านั้นคือดอกบ๊วย… ถึงจะมีสีชมพูและหน้าตาน่ารักพอๆกัน แต่ความแตกต่างหลักๆของพวกเขาคือ ซากุระจะมีก้านในขณะที่ดอกบ๊วยไม่มี และกลีบของดอกซากุระจะมีแฉกเล็กๆ แต่ดอกบ๊วยจะมีกลีบดอกมนๆ

 

 

5. ดอกไม้จากเทพเจ้า


ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่า ต้นซากุระนั้นได้ชื่อมาจากองค์หญิง โคโนะฮานะ ซากุยะ ฮิเมะ เนื่องจากมีความเชื่อว่าเธอคนนี้เป็นคนแรกที่ปลูกต้นซากุระบนโลกมนุษย์ของเรา นอกจากนั้น องค์หญิงโฉมงามองค์นี้ก็ยังเป็นเทพเจ้าแห่งภูเขาทั้งหมดในญี่ปุ่น ศาลเจ้าของเธอจึงตั้งอยู่ที่เชิงภูเขาไฟฟูจิเพราะคนญี่ปุ่นเชื่อว่าองค์หญิง ซากุยะ จะคอยดูแลผู้คน โดยการห้ามไม่ให้ภูเขาไฟปะทุ

 

 

6. ไปเป็นคู่ ทำอะไรดีนะ?


เวลาไปเที่ยวกับคู่แล้วละก็ จะมาชมซากุระในสวนอย่างเดียวก็คงจะธรรมดาเกินไป ลองนั่งรถไฟท่ามกลางดอกซากุระกับ รถราง Torokko Train สาย Sagano Arashiyama เพื่อให้ความรักเป็นสีชมพูดุจดั่งดอกไม้รอบๆ ได้ใช้เวลากับคนพิเศษในสถานที่พิเศษ ที่ไม่ได้ไปได้ง่ายๆ แต่ถ้าคิดว่าการนั่งรถไฟก็ยังคงธรรมดาเกินไปอยู่ ก็นั่งรถม้ากันไปเลยให้รู้แล้วรู้รอดไป! ได้ไปทัวร์นั่งรถม้าชมทางรถไฟและได้ชมซากุระไปพร้อมๆกัน เหมือนได้ท่องเที่ยวแบบย้อนยุคไปสมัยก่อน บรรยากาศก็ดีไปอีกแบบหนึ่ง

 

 

7. ปราสาทเก่าแก่และซากุระ


อีกหนึ่งจุดชมซากุระที่สวยงามไม่แพ้กับที่ไหนๆเลยก็คือ Funaoka Castle Ruin Park ซึ่งเคยเป็นสถานที่ตั้งของปราสาท แต่ก็ถูกทำลายลงไปในช่วงสงคราม หลงเหลือไว้แค่ส่วนที่ได้รับการบูรณะจนสวยงามอย่างที่เราเห็น และเป็นบ้านของซากุระอีกกว่า 1,000 ต้น เอกลักษณ์ของที่นี้คล้ายกับการนั่งรถราง Torokko Train คือการนั่งรถรางขึ้นไปบนเขาท่ามกลางต้นซากุระ แต่ถ้าได้เห็นภาพหรือได้สัมผัสแล้ว ก็จะเข้าใจว่าบรรยากาศที่เราได้รับจะแตกต่างกันออกไป นอกจากซากุระแล้ว ก็ยังมีดอกไม้อื่นๆอีกมากมายให้ได้เดินดูกันเพลินๆตลอดทั้งทาง รับประกันว่า จะถ่ายรูปมุมไหนก็ออกมาสวยไปหมด และยังไม่พอ บนยอดภูเขาก็ยังมีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมสูงถึง 24 เมตรให้ได้สักการะกันอีกด้วย การเดินทางมาทีนี้ก็ไม่ลำบากอะไรมากนัก แค่ขึ้น JR Pass สาย Tohoku แล้วนั่งๆนอนๆไปจนกว่าจะถึงที่สถานี Funaoka ได้เลย

 

 


หลังจากที่ได้รู้ 7 เรื่องที่ควรรู้ก่อนไปดูซากุระที่ญี่ปุ่นแล้ว ก็ยังมีอีกหนึ่งข้อที่ควรรู้เอาไว้ด้วย ซึ่งนั่นคือเคล็ดลับในการประหยัดงบนั่นเอง เพียงแค่ใช้โค้ด “”HANAMI” ก็สามารถประหยัดได้ถึง 450 บาท เมื่อจองขั้นต่ำ 4,500 บาท เมื่อซื้อกิจกรรมกับ Klook เท่านั้น

จองได้เลยที่ http://bit.ly/2Dy49oz
ตั้งแต่วันนี้ – 15 มีนาคม 2561
*เงื่อนไขเเละข้อตกลงเป็นไปตามที่กำหนด


บทความนี้เป็น Advertorial PR Content
Exit mobile version