วัดโชโกะซังชิจิ (Chogosonshi-ji Temple)
Photo by KENPEI from commons.wikimedia.org/wiki/File:Chyogosonshi-ji2.jpg [CC by 1.0,2.0,2.5,3.0 ]
วัดโชโกะซังชิจิ(Chogosonshi-ji Temple) ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาภูเขาชิกิ (Mount Shigi) ของจังหวัดนารา มีสัญลักษณ์เป็นรูปปั้นเสือโคร่งตัวใหญ่ตั้งอยู่ตรงทางเข้าและยังมีหลากหลายแห่งในบริเวณของวัด วัดแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นโดยเจ้าชายโชกุโตะผู้ที่มีความสำคัญในการวางรากฐานรัฐของประเทศญี่ปุ่นช่วงยุคอาซูกะ ที่สำคัญยังเป็นที่ประดิษฐานของเทพเจ้าบิชะมงเตน (Bishamonten) หรือที่รู้จักกันว่าเป็นหนึ่งในเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่าเทพเจ้าองค์นี้เป็นเทพเจ้าแห่งนักรบ ขุมทรัพย์ และความยุติธรรมมีหน้าที่ปกปักรักษาทรัพย์สมบัติและปกป้องให้พ้นจากภัยอันตรายต่างๆ ทำให้เป็นที่นิยมของผู้มีความศรัทธาและนักท่องเที่ยวจำนวนมากในการมาสักการะขอพร เพื่อให้เกิดความสำเร็จด้านธุรกิจการงาน โชคดีร่ำรวย และชีวิตราบรื่น จากการที่วัดตั้งอยู่บนเนินเขาทำให้แวดล้อมไปธรรมชาติที่สวยงามตระการตาของป่าไม้อันอุดมสมบูรณ์ ทั้งยังเป็นจุดชมวิวยอดนิยมของจังหวัดนาราในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีและฤดูต่างๆที่มีความสวยงามไม่แพ้กันอีกด้วย
จุดกำเนิดตามตำนานที่มีการเล่าขานของวัดแห่งนี้เริ่มจากเมื่อ 1,400 ปีก่อนเจ้าชายโชกุโตะได้หยุดพักการเดินทางที่ภูเขาชิกิเพื่อไปล้อมปราสาทคาวาชิ อินะมุระ (Kawachi Inamura) เจ้าชายจึงทำการอธิษฐานให้ได้รับชัยชนะในการรบที่กำลังจะเกิดขึ้น ภายหลังจากการอธิษฐานเทพเจ้าบิชะมงเตน (Bishamonten)ได้ปรากฏตัวให้เค้าเห็นบนท้องฟ้าในวันเสือและปีเสือตามปฏิทินจีน ซึ่งหลังจากที่ได้รับชัยชนะจึงได้ทำการสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่เทพเจ้าบิชะมงเตน (Bishamonten) รวมทั้งยังมีการแกะสลักภาพสัญลักษณ์ของเทพเจ้าองค์นี้ ด้วยความที่ตัววัดตั้งอยู่สูงประมาณ 437 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ทำให้วิหารกลายเป็นจุดชมทัศนียภาพอันงดงามที่สามารถมองเห็นเทือกเขาท่ามกลางแมกไม้ที่จะมีเสน่ห์แตกต่างกันไปในทุกๆฤดู
สถาปัตยกรรมของวัดสร้างแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม หากแต่มีการบูรณะซ่อมแซมอย่างสม่ำเสมอทำให้ดูงดงาม ทั้งยังแฝงไปด้วยกลิ่นอายความเก่าแก่ ลักษณะของเทพเจ้าบิชะมงเตนที่เป็นรูปสลักนั้นแสดงถึงความเป็นเทพแห่งสงครามสวมเกราะและหมวกพร้อมในการรบ สิ่งนั้นหมายถึงความตั้งใจในการกวาดล้างอุปสรรคสิ่งกีดขวางทุกชนิดที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันการแสดงออกทางสีหน้าที่ขึงขังดุดันยังสอนให้เรามีจิตใจที่เข้มแข็งและความอดทนในการทำสิ่งใดๆ ไม่ว่าจะเผชิญกับความยากลำบากมากมายแค่ไหนก็ตาม อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในมือขวาเป็นเสมือนสัญลักษณ์ความสำเร็จในธุรกิจและการเงิน ส่วนอาวุธในมือด้านซ้ายเป็นสัญลักษณ์ของความโชคดีและความมั่งคั่ง วิหารหลักบนเนินเขานั้นหลังจากถูกไฟไหม้เมื่อปี พ. ศ. 2494 ได้มีการบูรณะขึ้นใหม่ในปี พ.ศ 2501 โดยใช้เทคนิคทางสถาปัตยกรรมที่เรียกว่า บุทาอิ ซุกุริ (Butai-zukuri) ที่ช่วยให้ผู้มาเยือนได้เพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพที่งดงามที่ราบสูงของยามาโตะ โดยชื่อของวัดนั้นเกิดจากเมื่อกษัตริย์ดาอิโกะ (Daigo) ล้มป่วยหนักได้บัญชาให้ทำพิธีบูชาเทพเจ้าบิชะมงเตน ด้วยจิตใจอันแน่วแน่จึงทำให้ประสบความสำเร็จ ภายหลังพระองต์ได้ทำการประทานชื่อวัดแห่งนี้ที่เป็นสถานที่ประกอบพิธีสวดมนต์ว่า “โชโกะซังชิจิ (Chogosonshi-ji)” หมายถึง การครองราชย์สมบัติด้วยความสงบราบรื่นและความโชคดีของคนรุ่นหลัง อีกทั้งวัดยังเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในชื่อ “ชิจิซาน (Shigisan) ” อีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีอุโมงค์สั้น ๆ ที่มีรูปปั้นเสือยักษ์ ซึ่งหากได้ลอดผ่านในจุดๆนี้เชื่อกันว่าจะทำให้โชคดี ภายในอุโมงค์มีแท่นบูชาขนาดเล็กและเป็นที่สำหรับแขวนอีโม (絵馬) ซึ่งเป็นแผ่นไม้ขนาดเล็กที่สามารถเขียนสิ่งที่ปรารถนาได้ ในบางครั้งจะเห็นพระสงฆ์และนักดนตรีแนวโบราณแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบบดั้งเดิมเพื่อทำพิธีต่าง ๆ รวมไปถึงพิธีการทำให้จิตใจบริสุทธิ์ โดยพระสงฆ์จะทำใช้ก้านที่ผ่านพิธีการศักดิ์สิทธิ์พิเศษแตะบริเวณเหนือหลังและศีรษะ รวมทั้งยังมีส่วนพิพิธภัณฑ์เรโฮคัน (Reiho Kan) ที่จัดแสดงประวัติศาสตร์เครื่องมือ และวัตถุที่เกี่ยวข้องกับศาสนาตั้งแต่โบราณ นอกจากนี้ยังมีร้านกาแฟขนาดเล็ก ที่จำหน่ายซุปที่ทำจากถั่วอะซุกิสีแดงและเค้กข้าวมอจิรสชาติญี่ปุ่นแท้ๆให้ได้ลิ้มรสชาติกัน
การเข้าชม
อัตราค่าเข้าชม ในส่วนพิพิธภัณฑ์เรโฮคัน (Reiho Kan)
- ผู้ใหญ่ 300 เยน
- นักศึกษามหาวิทยาลัยและนักเรียนระดับมัธยมปลายมัธยม 300 เยน
- นักเรียนระดับมัธยมต้นและนักเรียนประถมศึกษา 200 เยน
- มีส่วนลดพิเศษกรีมาเป็นกลุ่มจำนวนมากกว่า 15 คน
- เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 9:00 – 17:00 น.
- เดือนเมษายน – กันยายน เปิดตั้งแต่เวลา 8:30 – 17:30 น.
- เดือนตุลาคม – มีนาคม เปิดตั้งแต่เวลา 9:00 – 17:00 น.
ไม่มีวันหยุด
วิธีการเดินทาง
- จากสถานีรถไฟไอโคะมะ (Ikoma Station) ต่อด้วยรถบัสหรือรถแท็กซี่ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40-50 นาที
- จากสถานีรถไฟ (Heguri Station) ต่อด้วยรถบัสหรือรถแท็กซี่ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 - 20 นาที