รวมทุกเรื่องที่ต้องรู้ก่อนไปเช่ารถขับเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น แบบละเอียดยิบ 2024
ประเทศญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบการขนส่งสาธารณะที่ดีที่สุดในโลก โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่ๆ เช่น โตเกียว(Tokyo) โอซาก้า(Osaka) นาโกย่า(Nagoya) ซัปโปโร(Supporo) และฟุกุโอกะ(Fukuoka) ทำให้การเดินทางท่องเที่ยวโดยระบบขนส่งสาธารณะในตัวเมืองนั้นจะง่ายและสะดวกกว่าการเช่ารถขับเองมาก แต่ถ้าเป็นพื้นที่ห่างไกลตามชนบทต่างๆ การเดินทางจะค่อนข้างจำกัดกว่ามาก บางพื้นที่อาจจะยังไม่มีเครือข่ายรถไฟไปถึงและยังอาจจะมีรถบัสวิ่งให้บริการเพียงไม่กี่เที่ยวต่อวัน ทำให้การเช่ารถขับเที่ยวนั้นน่าสนใจและอาจจะดูเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะให้มีความอิสระในการเดินทางมากกว่า ทำให้สามารถเดินทางไปได้ไกลและนานกว่าเดิม ไม่ต้องเสียเวลารอรถ อยากแวะ อยากลงตรงไหนก็ได้ แถมยังได้พบเจอ ร้านค้าและผู้คนท้องถิ่นได้มากกว่าด้วย
แต่การขับรถในต่างประเทศที่เราไม่คุ้นเคย ในประเทศที่เราพูดภาษานั้นไม่ได้ ก็น่าจะสร้างความกังวลใจได้อยู่บ้าง ซึ่งวิธีเดียวที่จะทำให้เราลดกังวลใจลงได้ก็คือการเตรียมตัวนั่นเอง ในบทความนี้เราจึงรวบรวมเอาเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวข้องและต้องรู้ก่อนการไปเช่ารถขับเที่ยวที่ญี่ปุ่นมาบอกเล่ากัน
ขั้นตอนแรก การเช่ารถขับที่ญี่ปุ่น(Rent a car)
เดี่ยวนี้ที่ประเทศญี่ปุ่นมีบริษัทให้เช่ารถมากมายที่คุ้นเคยกับการให้บริการชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทใหญ่ท้องถิ่นที่เป็นของแบรนด์รถยนตร์ เช่น Toyota Rent-a-car, Nissan Rent-a-car และ Honda Rent-a-car ที่จะมีเค้าเตอร์ให้บริการอยู่ตามสนามบินและสถานีรถไฟ จึงถึง Agency ที่มักจะมีส่วนลดมาให้ด้วย เช่น Klook.com, ToCoo ซึ่งจะรวมเอาร้านเช่ารถต่างๆทั่วประเทศญี่ปุ่นเอาไว้ให้เราค้นหาได้ง่ายๆ และบางครั้งก็โปรโมชั่นต่างๆลดราคาให้เราเพิ่มด้วย
ค่าเช่ารถโดยทั่วไปจะคิดราคาต่อ 24 ชั่วโมง รถคอมแพ็คขนาดเล็กประมาณ 10,000-15,000 เยนต่อวัน เช่น Toyota Yaris หรือใหญ่ขึ้นมาหน่อยเป็นรถ Minivan นั่งได้ 6-8 คน ราคาประมาณ 12,000-25,000 เยน เช่น Nissan Serena โดยค่าเช่าอาจจะมากกว่านี้ในช่วงพีคเช่นวันหยุดยาวต่างๆ โดยราคานี้จะรวมระยะทางการขับแบบไม่จำกัด ภาษี และประกันภัยขั้นต่ำวันละ 1,000 เยนไว้เอา ซึ่งจะครอบคลุมถึง ความเสียหาย การบาดเจ็บต่างๆด้วย แต่จะยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด ซึ่งถ้าจะให้ครอบคลุมทั้งหมดเราต้องซื้อประกันเพิ่มเติม
การจองรถ ส่วนใหญ่เราสามารถเลือกจองทำสถานที่ได้เลย เช่น สนามบิน หรือ สถานีรถไฟ อะไร แล้วยังสามารถเลือกที่จะคืนรถที่อื่นได้ด้วย แต่จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม บางที่คิดแบบเหมา บางที่ก็คิดตามความห่างระหว่างสถานที่รับรถ และสถานที่คืนรถ ส่วนใหญ่ที่ทำกันก็จะประมาณว่า เช่าที่สนามบิน แล้วไปคืนในเมือง อะไรแบบนั้น เช่น เช่าที่สนามบิน chitose ขับเที่ยวนอกเมืองเสร็จแล้วเอาไปคืนแถวสถานีรถไฟ Sapporo
TIPS: ตอนเช่ารถให้เริ่มจากการลองหาในเว็บ Agency ก่อน ถ้าไม่มีค่อยไปลองหากับเว็บบริษัทให้เช่ารถโดยตรง และตอนเลือกสาขาที่รับรถก็ให้ดูเวลาเปิดปิดของสาขาด้วยว่าเราสามารถไปรับรถได้ทันในช่วงเวลาทำการไหม
เรื่องทั่วๆไปของการขับรถที่ประเทศญี่ปุ่น
การจะไปเช่ารถขับที่ประเทศญี่ปุ่น จะต้องไปทำใบขับขี่สากลที่กรมขนส่งก่อน ซึ่งขั้นตอนก็ไม่ยุ่งยากและใช้เวลาไม่นานเป็นแค่การออกเอกสารเท่านั้น ไม่ได้มีการสอบใดๆ บางแห่งทำแล้วได้เลย บางแห่งต้องรอวันสองวัน มีค่าใช้จ่ายในการทำประมาณ 500 บาท มีอายุอยู่ได้ 1 ปี แล้ววันเดินทางให้พกใบขับขี่จริงไปด้วย
ญี่ปุ่นขับรถพวงมาลัยขวาและชิดซ้ายเหมือนบ้านเรา คนขับต้องมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ป้ายและสัญญลักษณ์บนท้องถนนส่วนใหญ่จะเป็นไปตามมาตราฐานสากล ซึ่งก็จะคล้ายๆกับบ้านเรา ป้ายบอกทางส่วนใหญ่จะมีทั้งภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษ การดื่มเหล้าแล้วขับรถผิดกฏหมายร้ายแรงมาก!
ความเร็วในตัวเมืองย่านที่อยู่อาศัย โดยทั่วไปจะประมาณ 30-40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถ้าออกนอกเมืองหน่อยก็จะเป็น 50-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถ้าเป็นบนทางด่วนจะอยู่ระหว่าง 80-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คนขับรถส่วนใหญ่จะขับเร็วกว่ากำหนดเล็กน้อย ถ้าไม่แน่ใจก็ขับช้าไว้ก่อนดีกว่า
ถนนที่ญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะขับได้ฟรี ยกเว้นทางด่วนและเส้นทางชมวิวบางเส้นทางที่จะเก็บเงิน สภาพถนนทั่วไปถือว่าดีมาก ถึงแม้ว่าในเขตตัวเมืองบางช่วงอาจจะมีแคบบ้างคล้ายๆกับเมืองไทย และรถในเขตเมืองก็ติดพอๆกับนจึงจะแนะนำให้หลีกเลี่ยงการขับรถเที่ยวในตัวเมืองโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ
ข้อดีอีกอย่างของประเทศญี่ปุ่นมีเครือข่ายทางด่วนกระจายครอบคลุมแทบจะทุกพื้นที่จึงสามารถขับรถข้ามเมืองไปได้ง่ายและรวดเร็ว แนะนำให้ค่อยๆขับเลนซ้ายตามคันหน้าไปจะสบายใจที่สุด ชมวิวข้างทางไปด้วยเพราะทางด่วนข้ามเมืองของญี่ปุ่นหลายเส้นทางนั้นจะวิ่งตัดภูเขาอยู่สูง ทำให้เห็นวิวที่สวยงามมาก
คนขับรถที่ญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะขับรถกันไม่เร็ว มีมารยาทดี มีน้ำใจบนท้องถนน ถ้าคุณเปิดไฟเลี้ยวขอทางรถส่วนใหญ่จะเหยียบเบรคชะลอให้คุณทันที ซึ่งตามมารยาทก็ควรจะก้มหัวให้เพื่อเป็นการขอบคุณ ในระหว่างขับรถในเมืองจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ คุณต้องหยุดรถให้คนข้ามถนนที่ทางม้าลายก่อน ย้ำว่าแค่เห็นคนเดินมาใกล้ทางม้าลายคุณต้องชะลอพร้อมหยุดไว้เลย โดยเฉพาะเวลาเลี้ยวซ้ายเข้าซอย เพราะคนญี่ปุ่นจะชินกับระบบที่คนหรือจักรยานสามารถเดินข้ามได้เลย โดยเฉพาะจักรยานที่พร้อมจะพุ่งผ่านถนนซอยไปแบบไม่มีชะลอ ยกเว้นว่ามีสัญญาณไฟ ถ้าแบบนั้นก็ไปได้เลย ไม่ต้องชะลอ
สำหรับแยกสัญญานไฟแดง ถ้าไม่ได้มีทางพิเศษให้เลี้ยวซ้ายคุณต้องรอไฟเขียวก่อนเท่านั้น ไม่มีเลี้ยวซ้ายผ่านตลอดเหมือนไทย ส่วนการเลี้ยวขวาต้องดูที่ไฟสัญญาณว่ามีไฟเขียวสำหรับเลี้ยวขวาไหม ซึ่งก็จะเป็นช่องกลมๆอยู่ข้างๆกับไฟแดงหรือด้านล่างไฟแดง ถ้ามีก็ต้องจอดรอไว้ก่อนจนกว่าไฟเลี้ยวขวาจะเขียวจึงจะไปได้ แต่ถ้าไม่มีไฟก็ต้องรอจนรถทางตรงหมดก่อนจึงจะไปได้
สำหรับการข้ามทางรถไฟซึ่งมีมากมายที่ประเทศญี่ปุ่นนั้น คนขับรถจะต้องหยุดรถให้สนิทแล้วมองซ้ายและขวาก่อนที่จะขับรถข้ามไปเท่านั้น จะไม่เหมือนกับประเทศไทยที่แค่ชะลอแล้วข้ามไปเลยจะถือว่าทำผิดกฏหมายและค่าปรับสูงมาก
ปั้มน้ำมันและการเติมน้ำมัน(Gas Station)
ปั้มน้ำมันมีอยู่ทั่วไปเหมือนในเมืองไทย มีทั้งแบบที่มีพนักงานมาเติมให้เหมือนเมืองไทย กับแบบที่เป็นบริการตัวเองในจำนวนพอๆกัน ปั้มส่วนใหญ่จะปิดในตอนกลางคืนแต่ก็จะมีบางปั้มที่เปิด 24 ชั่วโมง ราคาน้ำมันจะแพงกว่าเมืองไทย ราคาน้ำมันเบนซินประมาณ 115 เยนต่อลิตร(พฤษภาคม 2016) หรือประมาณ 37 บาท สามารถจ่ายเป็นเงินสดหรือบัตรเครดิตก็ได้
น้ำมันที่ใช้กันจะมีอยู่ 3 ประเภท ซึ่งจะแยกสีกันชัดเจน คือ แบบเบนซินธรรมดา(92) สีแดง หรือ Regular ซึ่งรถส่วนใหญ่ก็เติมแบบนี้ล่ะ, แบบเบนซิน Octane สูง(98) สีเหลือง และน้ำมันดีเซล สีเขียว ซึ่งจะใช้รหัสสีแบบนี้เหมือนกันหมดทุกปั้ม ทั่วประเทศ
ในขั้นตอนการเติมน้ำมันก็ไม่มีอะไรมาก เหมือนกับบ้านเรา คือขับรถเข้าไปจอด ดับเครื่อง เปิดกระจกรถ แล้วบอกพนักงานว่าจะเติมอะไรเท่าไหร่ แต่จะยุ่งยากหน่อยเพราะพนักงานมักจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ก็ให้บอกไปว่าถ้าเป็นเบนซิน ก็บอกว่า Regular หรือไม่งั้นก็ Diesel แล้วจะเติมเท่าไหร่ ก็อาจจะยื่นแบงค์เท่าที่จะเติมไปให้ดูก็ได้ หรือบอกว่า Full สำหรับเติมเต็มถังส่วนใหญ่จะเข้าใจ ระหว่างที่รอพนักงานอาจจะถามว่ามีขยะจะทิ้งมั้ย หรืออาจจะถามว่าจะไปทางไหน เรียกว่าบริการดีถึงใจ แม้จะคุยกันไม่รู้เรื่องเลยก็ตาม
นอกจากนี้บางปั้มก็จะให้เราเติมเอง ก็ไปกดที่ตู้ว่าจะเติมเท่าไหร่ มีทั้งแบบกำหนดเป็นลิตร เช่น 10 ลิตร, 20 ลิตร และแบบกำหนดเป็นเงิน เช่น 1000 เยน 2000 เยน หรือว่าแบบ Full เมื่อเติมเสร็จแล้วก็เดินเข้าไปด้านในออฟฟิศเพื่อจ่ายเงิน หรือบางแห่งก็สามารถจ่ายเงินที่ตู้ได้เลย ทั้งเงินสด ทั้งบัตร IC บัตรเครดิต แต่ถ้างงจริงๆ ก็เดินไปตามช่างหรือคนในออฟฟิศมาช่วยก็ได้ ไม่ยาก
ส่วนถ้าเป็นปั้มที่เป็นแบบบริการตัวเอง Self Service ส่วนใหญ่จะมีแต่ภาษาญี่ปุ่น แต่ก็มักจะมีพนักงานอยู่ใกล้ๆ จะเข้ามาช่วยเหลือทันที ก็ทำเหมือนกับเข้าปั้มแบบแรกนั่นแหล่ะ เค้าอาจจะให้เราเติมเองหรือบางทีก็จะจัดการให้เราเสร็จสรรพเลยเหมือนกัน
ขั้นตอนในการรับรถที่ญี่ปุ่น
การเช่ารถขับที่ญี่ปุ่นเดี่ยวนี้ทำได้ง่ายและสะดวกมากเพราะมีผู้ให้บริการมากมาย เช่น Klook.com, ToCoo ที่รวมเอาร้านเช่ารถต่างๆทั่วประเทศญี่ปุ่นเอาไว้ให้เราค้นหาได้ง่ายๆ บางครั้งก็มี code ส่วนลดให้อีกตาม โปรโมชั่นต่างๆ
เมื่อถึงเวลาที่เราไปรับรถ ถ้าเราเลือกรับรถที่สนามบิน บางครั้งจะไม่มีคนอยู่ประจำที่เค้าเตอร์ แต่จะมีโทรศัพท์วางเอาไว้ให้เรากดโทรไปแจ้งว่าเราจะมารับรถ เป็นภาษาอังกฤษ เขาจะบอกให้เรารอ แล้วก็จะมีรถมารับเรา เพื่อไปส่งยังออฟฟิศที่เป็นสถานที่รับรถอีกที ส่วนถ้าเป็นที่สถานีรถไฟก็เดินไปที่สาขาที่เราเลือกได้เลย ตอนเลือกสาขาที่รับรถต้องเช็ควันเวลาเปิดปิดของสาขาให้ดีว่าเราสามารถไปรับรถในช่วงเวลาที่เปิดทำการได้
ในตอนที่เราเข้าไปเอารถจะต้องใช้ พาสสปอร์ต ใบขับขี่สากล ใบขับขี่จริง และเครดิตการ์ด ขั้นตอนก็จะคล้ายกับการเช่ารถทั่วๆไป คือพอทำเรื่องด้านเอกสารเสร็จ จะมีเจ้าหน้าที่พาเราไปที่รถ เช็คสภาพรถ จนรอยขีดข่วนต่างๆทั้งภายในและภายนอก และอาจจะมีสอนวิธีการใช้รถเล็กน้อย พร้อมกับน้ำมันเต็มถัง ส่วนตอนคืนรถ จะต้องคืนแบบน้ำมันเต็มถังไม่งั้นจะโดนชาร์จค่าเติมน้ำมันเพิ่ม แต่สถานที่คืนรถบางแห่งก็จะมีบริการเติมน้ำมันอยู่ด้วย ซึ่งสถานที่คืนรถนั้นส่วนใหญ่เราจะเลือกคืนคนละที่กับที่เราขับรถออกมาได้ถ้าอยู่ไม่ไกลจากกันมากนัก หรือถ้าไกลกันก็จะเสียค่าคืนรถคนละสถานที่เพิ่ม
รถเช่าที่ญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะมีเครื่อง GPS ให้บางที่อาจจะมีภาษาอังกฤษด้วย หรือไม่ก็เป็น Google หรือ Apple car play ต่อกับมือถือดู Google Map ได้เลย สามารถสอบถามจากพนักงานที่อธิบายรถให้เราตอนเช่ารถได้เลย นอกจากนี้บริษัทเช่ารถยังมี options หลายอย่างให้เลือกเพิ่มได้ด้วยเช่น ที่นั่งสำหรับเด็ก ซึ่งตามกฏหมายประเทศญี่ปุ่น เด็กที่อายุต่ำกว่า 6 ขวบจะต้องนั่งที่นั่งสำหรับเด็กเท่านั้น โดยจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมและควรแจ้งล่วงหน้าตั้งแต่ตอนจอง
ที่จอดรถในประเทศญี่ปุ่น(Parking)
ที่จอดรถในตัวเมืองใหญ่ๆมักจะมีราคาแพงมาก อาจจะหลายร้อยเยนต่อชั่วโมง และราคาจะยิ่งถูกลงเรื่อยๆเมื่ออยู่ห่างจากตัวเมือง และถ้าเป็นในเมืองเล็กๆตามชนบทต่างๆก็มักจะจอดได้ฟรี ถ้าเป็นบริเวณสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆมักจะเก็บเงินครั้งเดียว ประมาณ 200-500 เยน โรงแรมต่างๆในเมืองมักจะมีที่จอดรถให้ แต่ถ้าเป็นโรงแรมราคาประหยัดอาจจะต้องจ่ายเงินเพิ่ม ประมาณ 1,000 เยนต่อคืน ส่วนถ้าเป็นโรงแรมนอกเมืองมักจะมีที่จอดรถให้ฟรี
ที่จอดรถในญี่ปุ่นมีหลายแบบ เช่น ที่จอดรถแบบเป็นลิฟท์ขึ้นไปบนตึก ที่เราขับรถเข้าไปจอดที่ช่องแล้ว ลิฟท์จะเอารถขึ้นไปเก็บด้านบนเอง เมื่อตอนจะออก รถก็จะออกมาให้เราเอง อีกประเภทหนึ่งคือแบบที่เป็นที่กั้นบนถนน มีทั้งแบบกั้นเป็นประตู และกั้นตรงช่องจอด จนถึงไม่มีที่กั้นเลยก็มี
แบบกั้นที่ประตูก็มักจะต้องกดปุ่มรับบัตรจอดรถมาแล้ว ไม้กั้นก็เปิด เราขับเข้าไปจอดเสร็จแล้วตอนจะออกก็เอาบัตรไปจ่ายเงินที่ตู้ หรือบางที่ก็จ่ายที่ตรงประตูทางออกเลย ก็เสียบบัตรเข้าไป ตู้จะบอกมาว่ากี่เยน จ่ายเงินเสร็จไม้กั้นก็เปิด
ส่วนแบบที่กั้นบนพื้นแต่ละช่องจอด พอเราจอดเสร็จซักพักไม้ที่พื้นจะยกขึ้นมาปิด ตอนเราจะออกก็ไปที่ตู้ กดเบอร์ช่องจอดของเราตู้ก็จะบอกว่ากี่เยน จ่ายเงินเสร็จ ไม้กั้นที่พื้นก็จะลดระดับลง เราก็ขับรถออกได้ ส่วนแบบไม่มีอะไรกั้นเลย บางที่ก็ใช้กล้องในการตรวจเลขทะเบียนก็ให้เราไปกดเฉพาะเลขทะเบียนรถที่ตู้เพื่อจ่ายเงิน ไม่งั้นตอนออกจะมีอาจจะมีพนักงานมากั้นให้ไปจ่ายเงินก่อน
TIPS: เวลาวางแผนเที่ยวให้วางปักหมุดที่จอดรถไว้ก่อนจะสะดวกมากเวลา ขับไปถึงที่แล้วก็เลี้ยงเข้าไปจอดได้เลย ไม่งั้นอาจจะงงว่าต้องไปจอดตรงไหน และที่จอดรถบางแห่งจะไม่ได้เปิดให้คนทั่วไปจอดได้ เช่นต้องเป็นพนักงานเท่านั้นเป็นต้น
การขับรถขึ้นเรือเฟอร์รี่(Ferry)
อย่างที่รู้กันดีว่ประเทศญี่ปุ่นนั้นเป็นหมู่เกาะ การใช้บริการเรือเฟอร์รี่ข้ามฝั่งไปมาระหว่างเกาะจึงเป็นเรื่องปกติ และมีราคาไม่แพง โดยเฉพาะที่ระยะทางไม่ไกล มักจะมีราคาไม่กี่ร้อยเยน ยกเว้นที่มีระยะทางไกลๆ ก็จะมีราคาแพงขึ้นมากได้ การใช้บริการก็ไม่ต่างจากการขับรถขึ้นเรือเฟอรี่ที่อื่น คือขับไปตามป้ายที่จะบอกจุดหมายที่เราไป รอเรือจอดแล้วเปิดทางให้เราค่อยๆขับขึ้นเรือไปจอดบนเรือ โดยจะมีเจ้าหน้าที่คอยโบกให้ และบนเรือก็มักจะมีร้านค้า ร้านอาหาร และที่นั่งพักผ่อนชมวิว พอใกล้ถึงก็จะมีการแจ้งเตือนแล้ว เราก็จะเห็นคนเดินลงไปที่โซนจอดรถ พอเรือเสร็จสนิทเราก็ขับรถออกจากเรือไปตามทางที่เราต้องการต่อไป บางที่อาจจะจ่ายเงินก่อน บางที่อาจจะจ่ายเงินหลังจากออกจากเรือแล้ว
การขับรถในฤดูหนาวที่เต็มไปด้วยหิมะ
หลายพื้นที่ในประเทศญี่ปุ่นโดยเฉพาะทางตอนเหนือจะมีหิมะตกค่อนข้างมากในช่วงฤดูหนาว ทำให้ถนนถูกปกคลุมไปด้วยหิมะหรือน้ำแข็ง ทำให้ถนนลื่นมากจนยางปกติของรถยนตร์จะใช้งานได้ไม่ดีในช่วงนี้ คนญี่ปุ่นจะเปลี่ยนมาใช้ยางสำหรับขับบนหิมะ หรือ Snow tire หรือบางครั้งก็ยังไม่พอต้องลงไปพันโซ่ที่ล้อรถด้วย ซึ่งถ้าเราเช่ารถขับในช่วงนี้ ถ้าเราไม่แน่ใจก็ให้ระบุไปก่อนเลยว่าต้องการใช้งาน Snow tire ด้วย แล้วทางบริษัทให้เช่ารถยนตร์จะจะเตรียมยางไว้ให้ ในบางกรณีที่เราไม่ได้แจ้ง แต่ที่ที่เราจะไปมีแนวโน้มหิมะสูง แล้วบริษัทให้เช่าไม่มียางนั้น เขาอาจจะไม่ให้เราเช่ารถเพราะกลัวอันตรายได้
อย่างไรก็ตามการขับรถในช่วงที่หิมะตกหนักค่อนข้างอันตรายโดยเฉพาะกับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์มาก่อนจึงควรเตรียมตัวให้ดี หรือหลีกเลี่ยงในพื้นที่ที่มีหิมะตกหนักหรือการขับรถในช่วงฤดูหนาว
ทางด่วน (Expressways)
เกาะใหญ่ต่างๆที่ประเทศญี่ปุ่นมีเครือข่ายทางด่วนที่ครอบคลุมเมืองใหญ่ๆแทบจะครบทุกเมือง จากบนสุดลงล่างสุด มีระยะทางรวมทั้งหมดเกือบ 10,000 กิโลเมตร ความเร็วโดยทั่วไปจะประมาณ 80-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงยกเว้นบางช่วงที่เป็นถนนเลนส์เดียวจะกำหนดความเร็วไว้ที่ 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
คำศัพท์พื้นฐานของการใช้งานทางด่วนที่ควรรู้คือ
1. Interchange (IC) หมายถึงทางขึ้นลงทางด่วน เช่น Tokyo IC ก็คือทางขึ้นลงทางด่วนของโตเกียว
2. Junction (JCT) หมายถึง ทางแยกของทางด่วนสายต่างๆ จากสายหนึ่งไปอีกสายหนึ่ง หรือหลายสายมารวมกัน
3. Parking Area (PA) หมายถึงจุดพักรถเล็กๆ มีห้องน้ำ หรือตู้กดน้ำให้บริการ
4. Service Area (SA) หมายถึงจุดพักรถใหญ่ๆ มีบริการหลายอย่างนอกจากห้องน้ำ เช่น ร้านอาหาร ปั้มน้ำมัน ร้านขายของ คล้ายกับตามปั้มน้ำมันใหญ่ๆในบ้านเรา
5. Electronic Toll Collection(ETC) คือบัตรทางด่วนอัตโนมัติ คล้ายๆกับ EasyPass บ้านเรา แต่ที่ญี่ปุ่นคนขับรถ 90% จะใช้กัน ทำให้ช่องลงทางด่วนตอนจ่ายเงินส่วนใหญ่จะเห็นป้าย ETC ถ้าเราไม่มีก็ไปช่องที่ไม่มีป้ายนี้ แล้วจ่ายเงินสด การจะใช้งานจะต้องมีเครื่องอ่านบัตร ETC และ บัตร ETC ซึ่งจะเชื่อมต่อกับ เครดิตการ์ดของประเทศญี่ปุ่น โดยเครื่องจะรวมค่าทางด่วนทั้งหมดแล้วเราไปจ่ายเงินตอนคืนรถทีเดียว บางครั้งบางช่วงเวลาการชำระเงินด้วย ETC จะมีส่วนลดให้ด้วย โดย ETC จะสามารถขอได้จากผู้ให้บริการเช่ารถส่วนใหญ่ ค่าเช่า ETC จะคิดกันประมาณ 2-400 เยนต่อวัน นอกจากนี้ก็ยังมี Expressway Pass ซึ่งเป็นแบบเหมาเป็นรายวันด้วย คือจะจ่ายคงที่แล้วแต่พื้นที่ที่เราใช้บริการ วันละ 3-4 พันเยน แล้วจะใช้บริการทางด่วนไกลแค่ไหนหรือกี่ครั้งก็ได้ ภายในพื้นที่ที่กำหนดและวันเดียวกัน เช่น เกาะฮอกไกโด และเกาะคิวชูประมาณ วันละ 4,000 เยน เป็นต้น
อัตราค่าทางด่วนโดยประมาณสำหรับคนยนตร์ที่นั่ง 4 คนขนาดปกติ ซึ่งอาจจะแตกต่างจากนี้ได้ ตามช่วงเวลาของวัน และช่วงเวลาของปี
Tokyo | |||||||
Aomori | |||||||
Nagoya | |||||||
Kyoto | |||||||
Osaka | |||||||
Hiroshima | |||||||
Fukuoka |
ข้อกำหนดและกฏหมายพื้นฐานต่างๆ
โดยส่วนใหญ่แล้วจะเหมือนกับที่ประเทศไทย คือขับความเร็วไม่เกินที่กฏหมายกำหนด, ผู้โดยสารทุกคนต้องคาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง ห้ามดื่มของมึนเมาก่อนขับรถ ห้ามคุยโทรศัพท์ระหว่างขับรถ ห้ามฝ่าไฟแดง ต้องหยุดให้คนข้ามถนนไปก่อนทุกครั้ง มีมารยาทและน้ำใจบนท้องถนน
* หวังว่าข้อมูลในบทความนี้จะช่วยให้ หลายคนตัดสินใจจะไปลองเช่ารถขับเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งรับรองว่าจะได้พบกับการเดินทางที่สนุกสนานและแปลกใหม่ยิ่งกว่าเดิมแน่นอน แต่ที่สำคัญที่สุดขอให้นึกถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก เราไปเป็นแขกในบ้านคนอื่น จึงควรจะปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด รวมทั้งมีมารยาทและน้ำใจบนท้องถนน เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิดลง
>>> รีวิว 8 วัน เช่ารถขับเที่ยวฮอกไกโด เจาะลึก <<<
ดูข้อมูล สัญญลักษณ์และป้ายจราจรต่างๆที่ควรรู้ของประเทศญี่ปุ่น
https://en.wikipedia.org/wiki/Shuto_Expressway#/media/File:Shuto_expressway_ariake_junction.jpg
http://www.tax-free-shop.com/en/japan-travel-guide/28-rent-a-car-in-japan
https://graceisinjapan.wordpress.com/2013/10/01/getting-gas-in-japan/
http://www.elevatorbobs-elevator-pics.com/parking_p2.html
http://japanesenostalgiccar.com/grand-touring-driving-across-japan-in-a-jnc-day-06/
http://www.maltatoday.com.mt/news/world/61520/cold_weather_leaves_over_50_dead_in_taiwan_and_japan