เที่ยว 25 ทุ่งดอกไม้สุดอลังการของเกาะฮอกไกโด หน้าร้อน 2567
photos by James.Kirk from flickr.com/photos/skuldly/880492815( cc by 2.0)
เมื่อกล่าวถึงทุ่งดอกไม้หลากสีของประเทศญี่ปุ่นแล้ว เกาะฮอกไกโดอาจจะถือได้ว่าเป็นภูมิภาคที่มีทุ่งดอกไม้ที่สวยงามมากที่สุดของญี่ปุ่นเลยทีเดียว แม้ว่าจะอยู่ทางตอนเหนือสุดของประเทศที่มีภูมิอากาศหนาวเย็นเกือบตลอดทั้งปี และขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาวที่ดีที่สุดของญี่ปุ่นก็ตาม ทว่าช่วงหน้าร้อนหรือตั้งแต่เดือนมิถุนายน – เดือนสิงหาคมของทุกปีจะเป็นช่วงที่อากาศไม่หนาวเย็นมาก ท้องฟ้าแจ่มใสมีผลไม้และดอกไม้มากมายหลายชนิดที่ผลิดอกออกผลอย่างเต็มที่ทำให้เป็นช่วงที่จังหวัดฮอกไกโดมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากที่สุดของปีเนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอันงดงาม อีกทั้งยังเต็มไปด้วยกิจกรรมการท่องเที่ยวมากมายที่ไม่สามารถทำได้ในช่วงหน้าหนาวอีกด้วย
ลาเวนเดอร์ถือเป็นดอกไม้ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของจังหวัดฮอกไกโด เนื่องจากเคยเป็นพื้นที่เพราะปลูกเพื่อการเกษตรกรรมมายาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นฟาร์มดอกไม้เพื่อการท่องเที่ยวหลังจากช่วงปี 1960 – 1970 ที่ราคาดอกลาเวนเดอร์ของฮอกไกโดมีราคาสูงกว่าการนำเข้าจากต่างประเทศจนเป็นสาเหตุให้ความต้องการดอกลาเวนเดอร์ของตลาดภายในประเทศลดลง ซึ่งนอกจากนี้ยังมีดอกไม้อื่นๆ ที่สามารถหาชมได้จากฮอกไกโดได้อีกมากมาย อาทิ ป๊อปปี้, คอสมอส, เรพซีด, ซัลเวีย, ลิลลี่และดอกไม้อื่นๆ อีกมากมาย
ตามมาชม 25 ทุ่งดอกไม้ต่างๆบนเกาะฮอกไกโดกันเลยว่าจะสวยงามขนาดไหน
1. ทุ่งดอกไม้กามิฟูราโน่ (Flower Land Kamifurano) ทุ่งดอกไม้ที่มีชื่อเสียงของเมืองฟูราโน่ ตั้งอยู่บนเนินเขาในฮอกไกโดซึ่งสามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของเทือกเขาโทกาชิ (Tokachi mountain range) ได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะมีการเปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้ฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ และจะปิดให้บริการในช่วงปลายเดือนธันวาคมถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ภายในฟาร์มจะมีบริการรถแทรกเตอร์เพื่อให้คุณสามารถนั่งรับลมชมทุ่งดอกไม้ได้อย่างทั่วถึงเพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศที่รายล้อมไปด้วยดอกไม้สีสันสดใสละลานตา กิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่ การได้สัมผัสประสบการณ์การตัดดอกลาเวนเดอร์, การทำดอกไม้ทับแห้ง, หมอนจากบัควีทและดอกลาเวนเดอร์แห้งเพื่อเป็นของที่ระลึกติดไม้ติดมือกลับบ้าน รวมไปถึงการเข้าชมเรือนเพาะต้นอ่อนของดอกไม้ในเรือนเพาะชำของกามิฟูราโน่ อีกทั้งภายในฟาร์มยังมีการเปิดให้บริการร้านขายของที่ระลึกและร้านอาหารที่ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติที่หาได้จากภายในฟาร์มไว้คอยบริการแก่นักท่องเที่ยวอีกด้วย อาทิ ไอศกรีมจากดอกลาเวนเดอร์หรือเครื่องดื่มรามูเนะ (มะนาวโซดา) กลิ่นลาเวนเดอร์ เป็นต้น
วิธีการเดินทาง: ทุ่งดอกไม้กามิฟูราโน่ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงขึ้นไปประมาณ 3 กิโลเมตร จากสถานีรถไฟคามิฟุราโนะ (Kamifurano Station) สามารถเดินทางด้วยรถแท็กซี่จะใช้เวลาประมาณ 5 นาที หรือเดินเท้าใช้เวลาประมาณ 50-60 นาที หรือจากฟุราโนะหรือบิเอะ ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ค่าโดยสารประมาณ ¥ 360
GPS: 43.481069, 142.446392
2. ฟาร์มโทมิตะ (Farm Tomita) จุดชมดอกลาเวนเดอร์ที่ดีที่สุดของจังหวัดฮอกไกโดและโด่งดังมากที่สุดในหมู่นักท่องเที่ยว มีวิวทิวทัศที่สวยงามจากฉากหลังของภูเขาโทกะชิ (Tokachi mountain) ภายในฟาร์มโทมิตะจะมีการแบ่งย่อยออกเป็น 10 สวนดอกไม้ตามฤดูกาลและสายพันธุ์ทั้งแบบกลางแจ้งและมีโรงเรือนแบบปิด ซึ่งใกล้ๆกับแต่ละสวนก็จะมีการเปิดให้บริการเรือนเพาะชำและร้านขายของที่ระลึกที่ได้จากแต่ละสวนไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ซื้อหาด้วย สวนที่ได้รับความนิยมและโดดเด่นที่สุดของฟาร์มโทมิตะคือ สวนอิโรโดริ (Irodori Field) ที่มีลักษณะเป็นทุ่งดอกไม้ 7 สีสวยสดงดงาม ซึ่งจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ฟรี กิจกรรมที่น่าสนใจได้แก่ การเข้าชมพิพิธภัณฑ์ของฟาร์ม, การสาธิตการทำน้ำมันหอมระเหยและถุงหอม, กิจกรรมเวิร์คช็อปต่างๆ นอกจากนี้ยังมีร้านอาหาร, ร้านกาแฟและร้านค้าจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากลาเวนเดอร์อีกด้วย
วิธีการเดินทาง: โดยรถไฟสาย JR Furano Line รวมถึงรถไฟ Furano-Biei Norokko ลงที่สถานี Lavender Batake Station (จาก Furano ใช้เวลา 20 นาที ค่าโดยสารประมาณ ¥ 230 หรือจาก Biei ใช้เวลาประมาณ 35 นาที ค่าโดยสารประมาณ ¥ 450) จากนั้นเดินเท้าต่ออีกประมาณ 5 – 10 นาที
GPS: 43.418882, 142.426564
3. ฟาร์มลาเวนเดอร์ตะวันออก (Lavender East) ฟาร์มลาเวนเดอร์ตะวันออกเป็นทุ่งดอกไม้แห่งที่ 2 ของฟาร์มโทมิตะและเป็นหนึ่งในทุ่งลาเวนเดอร์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศญี่ปุ่น เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ปี 2008 ห่างจากฟาร์มโทมิตะออกไปประมาณ 4 กิโลเมตร มีพื้นที่กว้างขวางครอบคลุมเนื้อที่กว่า 14 เฮกตาร์ จุดประสงค์หลักคือการผลิตน้ำหอมจากดอกลาเวนเดอร์ ซึ่งเปิดให้เข้าชมฟรีในช่วงเดือนกรกฎาคมเท่านั้น บริเวณใกล้เคียงเปิดให้บริการร้านค้าและร้านกาแฟ สามารถใช้บริการรถบัสลาเวนเดอร์ (Lavender Bus) เพื่อขึ้นไปชมวิวยังชั้นดาดฟ้าได้ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาที ค่าใช้จ่ายประมาณ ¥ 200
วิธีการเดินทาง:
- โดยรถไฟสาย JR Furano Line รวมถึงรถไฟ Furano-Biei Norokko ลงที่สถานี Lavender Batake Station (จาก Furano ใช้เวลา 20 นาที ค่าโดยสารประมาณ ¥ 230 หรือจาก Biei ใช้เวลาประมาณ 35 นาที ค่าโดยสารประมาณ ¥ 450) จากนั้นต่อรถแท็กซี่ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 8 – 15 นาที
- โดยรถบัสชมวิว Twinkel Bus Biei “Lavender Course” ซึ่งเดินทางจาก Furano ผ่าน Biei ไปยัง Asahikawa (ใช้เวลาประมาณ 4.5 ชั่วโมง ค่าโดยสารประมาณ ¥ 1,000) ลงที่ Lavender East
GPS: 43.405177, 142.469499
4. เกาะเระบุน (Rebun Island) จุดเหนือสุดของญี่ปุ่นและจังหวัดฮอกไกโดและเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติ Rishiri-Rebun-Sarobetsu (Rishiri-Rebun-Sarobetsu National Park) ความโดดเด่นของที่นี่คือเป็นที่ตั้งของพืชอัลไพน์มากกว่า 300 ชนิดรวมถึงพันธุ์กล้วยไม้หายากอย่างพันธุ์รองเท้านารีและดอกไม้อื่นๆ ที่จะสามารถหาชมได้เฉพาะบนเกาะเระบุนเท่านั้น โดยที่เกาะแห่งนี้จะถูกรู้จักกันในอีกชื่อว่า “เกาะแห่งดอกไม้” เนื่องจากตั้งอยู่ในเขตละติจูดที่สูงทำให้มีภูมิอากาศที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของดอกไม้นานาพรรณ ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการไปเที่ยวชมทุ่งดอกไม้ที่เกาะเระบุนคือระหว่างเดือนพฤษภาคม– เดือนสิงหาคม ซึ่งนอกจากการไปชมดอกไม้สวยงามแล้วยังเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมเดินป่าชมธรรมชาติ
วิธีการเดินทาง: สามารถเดินทางไปยังเกาะเระบุนได้หลายวิธีทั้งเครื่องบินจากซัปโปโรไปยังเกาะริชิริ Rishiri Airport หรือโดยเรือเฟอร์รี่จากเมืองวักกะไน (Wakkanai) เพื่อไปยังเกาะเระบุน จากนั้นใช้บริการรถบัสภายในเกาะหรือแท็กซี่เพื่อไปยังจุดท่องเที่ยวต่างๆ
GPS: 45.393816, 141.014541
5. สวนดอกลิลลี่ ONZE (ONZE Harukayama Lily Garden) ตั้งอยู่ในเมืองโอตารุ (Otaru) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งเนินเขา ดังนั้นที่สวนแห่งนี้คุณจะได้สัมผัสกับทุ่งดอกลิลลี่ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของภูเขา Haruka ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ซึ่งหากมาในช่วงฤดูหนาวที่ ONZE Harukayama จะเป็นจุดท่องเที่ยวสำหรับการเล่นสกีหิมะที่ยอดเยี่ยมแต่หากมาในเดือน กรกฎาคมและสิงหาคมก็จะถูกเปลี่ยนเป็นทุ่งดอกลิลลี่สีสันสดใส กิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจนอกเหนือไปจากการเที่ยวชมดอกไม้ได้แก่ การขึ้นกระเช้าเพื่อชมทิวทัศน์แบบมุมสูงไปยังจุดสูงสุดของเนินเขาซึ่งสามารถมองเห็นอ่าวอิชิคาริ (Ishikari Bay) ทางทิศเหนือของเมืองและภาพเส้นขอบฟ้าทางทิศตะวันออกของเมืองซัปโปโรได้อีกด้วย ทั้งนี้ยังมีการเปิดให้บริการร้านขายของที่ระลึกและร้านอาหารสำหรับนักท่องเที่ยว
ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ราคา ¥ 800 เด็ก ¥ 300 ค่ากระเช้า ขาขึ้น ผู้ใหญ่ราคา ¥ 520 เด็ก ¥ 310 ขาลง ผู้ใหญ่ราคา ¥ 310 เด็ก ¥ 100
วิธีการเดินทาง: โดยรถไฟจากสถานีซัปโปโร Sapporo Station ลงที่สถานี Zenibako Station ใช้เวลาเดินทางประมาณ 28 นาที ค่าโดยสารประมาณ ¥ 340 – 550 จากหน้าสถานีต่อรถแท็กซี่อีกประมาณ 3 – 5 นาทีหรือเดินเท้าด้วยระยะทางประมาณ 3.1 กิโลเมตร
GPS: 43.146177, 141.133002
6. สวนชิชิขุ (Shichiku Garden) ของเมืองโอบิฮิโระ (Obihiro City) ด้วยเนื้อที่กว่า 50,000 ตารางเมตรเต็มไปเปิดให้เข้าชมตลอดทั้งปีด้วยดอกไม้นานาพันธุ์กว่า 2,500 ชนิดตลอดฤดูกาล อาทิ แมกโนเลีย, เบิร์ช,โอโบวาตาและพันธุ์ไม้เฉพาะของจังหวัดฮอกไกโด โดยคุณยาย Akiyo Shichiku วัย 83 ผู้เป็นเจ้าของได้เริ่มทำสวนมาตั้งแต่ปี 1989 ซึ่งหากได้ไปเที่ยวชมก็จะได้พบกับคุณยายที่มักจะออกมาเดินเล่นอยู่เป็นประจำ ภายในประกอบไปด้วยสวนเล็กๆ หลายแห่ง เช่น สวนแบบอังกฤษ, สวนกุหลาบและสวนไม้เลื้อยและสระบัว ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพวาดของโมเน่ต์จิตรกรชื่อดัง ทั้งนี้ยังมีบริการบุฟเฟต์อาหารเช้าและที่พลาดไม่ได้เลยก็คือไอศกรีมกลิ่นกุหลาบและสมูทตี้เบอร์รี่ เมนูยอดนิยมของชิชิขุ
ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ราคา ¥ 800 เด็ก ¥ 200
วิธีการเดินทาง: จากหน้าสถานีรถไฟจากสถานีโอบิฮิโระ (Obihiro Station) จากหน้าสถานีต่อรถแท็กซี่อีกประมาณ 20 นาทีด้วยระยะทางประมาณ 22.7 กิโลเมตร
GPS: 42.763275, 143.084675
7. เซรุบุฮิลล์ (Zerubu Hill) สวนดอกไม้หลากสีที่มีการวางผังในแบบวงกลมสวยงามแปลกตา เปิดให้เข้าชมฟรี ตั้งอยู่บริเวณตอนกลางของเกาะฮอกไกโดซึ่งเป็นแหล่งขึ้นชื่อของทุ่งลาเวนเดอร์ที่งดงาม แต่ที่เซรุบุนั้นเน้นปลูกดอกไม้หลายพันธุ์ไม่ว่าจะเป็น ดอกหน้าแมว, ทานตะวัน, ลาเวนเดอร์, บีโกเนียและคอสมอส เป็นต้น ซึ่งจะเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมกันตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคมของทุกปี ภายในสวนมีหอดูดาวโดยจะสามารถมองเห็นต้นเคนและแมรี่ได้จากที่นั่น นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึกไว้คอยบริการ
วิธีการเดินทาง: จากหน้าสถานีรถไฟจากสถานีบิเอะ (Biei Station) จากหน้าสถานีเดินเท้าไปอีกประมาณ 2.3 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 30 นาที
GPS: 43.606181, 142.469159
8. ทุ่งดอกทิวลิปทาคิโนะ (Takino Suzuran Hillside National Park) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองซัปโปโร พื้นที่หลักสำหรับชมทุ่งดอกทิวลิปคือ “เนินเขาแห่งสายลม (The Hill of Wind)” ซึ่งจะเต็มไปด้วยดอกทิวลิปและดอกคอสมอสสีสันสดใส ซึ่งนอกจากการเข้าชมดอกไม้แล้วคุณยังสามารถเที่ยวชมจุดท่องเที่ยวต่างๆ และทำกิจกรรมภายในอุทยานได้ด้วย อาทิ เล่นน้ำตก, ตกปลา, ปั่นจักรยานและอื่นๆ ทั้งนี้อุทยานยังเปิดให้บริการบ้านพักค้างคืนและร้านอาหารแก่นักท่องเที่ยวอีกด้วย
ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ราคา ¥ 410 เด็ก ¥ 80
วิธีการเดินทาง: โดยรถไฟฟ้าใต้ดินสาย Namboku Line สถานีมาโคมานาอิ (Makomanai Station) จากนั้นต่อรถบัส Chuo Bus หมายเลข 106 ลงที่ป้าย Suzuran Park Higashi Guchi ค่าโดยสาร ¥ 440จากนั้นเดินเท้าต่ออีก 5 นาที
GPS: 42.913536, 141.386954
9. สวนไดเซ็ทสึโมริ (Daisetsu Mori no Garden) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเทือกเขาไดเซ็ทสึ (Daisetsuzan Mountain Range) เต็มไปด้วยดอกไม้กว่า 700 ชนิดตลอดทั้งปี พื้นที่สวนถูกสร้างขึ้นกลางป่าที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของภูเขาไดเซ็ทสึได้อย่างชัดเจน รายล้อมไปด้วยแมกไม้ให้ความร่มรื่น ทั้งยังมีการเปิดให้บริการร้านอาหาร, คาเฟ่และร้านค้าไว้คอยต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วย ซึ่งอาหารทั้งหมดจะใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่นเป็นส่วนประกอบทั้งหมด จุดถ่ายภาพที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ Dress Garden Kanteซึ่งมีลักษณะลาดโค้งราวกับทางลาดที่ใช้เล่นสกี (คำว่า Kante ในภาษาญี่ปุ่นแปลว่า “ทางลาดที่ใช้เล่นสกี”)
ค่าเข้าชม: ราคา ¥ 800
วิธีการเดินทาง: จากหน้าสถานีรถไฟคามิกะวะ (Kamikawa Station) ต่อรถแท็กซี่ไปอีกประมาณ 15 นาที
GPS: 43.798444, 142.821665
10. สวนยูริกาฮาระ (Yurigahara Park) เปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้ฟรี สวนดอกลิลลี่กว่า 100 สายพันธุ์ รวมทั้งดอกไม้สวยงามอื่นๆ อาทิ กุหลาบ, ไลแลค, ดาห์เลียและดอกไม้สีสันสดใสอื่นๆ อีกมากมายทอดยาวไปตามเส้นทาง นักท่องเที่ยวสามารถเดินเล่นถ่ายรูปหรือจะใช้บริการรถไฟสายลิลลี่ (Lily Train) เพื่อนั่งชมความงามของดอกไม้และสวนได้ ซึ่งจะเปิดให้เข้าชมตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายนเรื่อยไปจนถึงปลายเดือนกันยายน ช่วงที่ดอกไม้จะบานสะพรั่งอย่างเต็มที่เหมาะแกการท่องเที่ยวเป็นอย่างมากคือช่วงกลางเดือนกรกฎาคม ภายในสวนยูริกาฮาระจะมีการแบ่งออกเป็นสวนย่อยๆ ได้แก่ เรือนกระจก, สวนหิน, ถนนกุหลาบ, สวนดอกไม้หอมและอื่นๆ อีกมากมาย
วิธีการเดินทาง:
- โดยรถไฟสาย Gakuentoshi (Gakuentoshi Line) สถานียูริกาฮาระ (Yurigahara Station) จากนั้นเดินเท้าต่อไปอีกประมาณ 10 นาที
- โดยรถไฟใต้ดินสาย Namboku Line สถานี Asabu Station จากนั้นต่อรถบัส Chuo Bus (หมายเลข Asa 25 หรือ Asa 27) ลงที่ป้ายยูริกาฮาระ (Yurigahara koen mae) จากป้ายรถบัสเดินเท้าต่ออีกประมาณ 2 นาที
GPS: 43.128948, 141.364845
11. สวนฮิโนเดะโคเอน (Hinode Koen) สวนลาเวนเดอร์ที่จะเบ่งบานก่อนสวนอื่นๆ ตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ ใกล้รอยต่อระหว่างเมืองฟุราโนะและเมืองบิเอะ โดดเด่นด้วยทุ่งลาเวนเดอร์ที่เอียงลาดลงไปตามเนินอย่างสวยงาม โดยจะสามารถมองเห็นเทือกเขาโทคาชิได้อย่างชัดเจนและหอชมวิว 360 องศาที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้แบบเต็มตา บริเวณสวนฮิโนเดะโคเอนจะมีระฆังแห่งรักตั้งไว้ตรงกลางให้คู่รักได้มาเคาะเพื่อขอให้สมหวังในรัก อีกทั้งยังเป็นจุดที่คู่แต่งงานนิยมถ่ายรูปพรีเวดดิ้งและทำพิธีแต่งงานกันเป็นจำนวนมาก
วิธีการเดินทาง: จากสถานีรถไฟกามิฟุราโน่ (Kamifurano Station) จากนั้นเดินเท้าต่อไปอีกประมาณ 15 นาที
GPS: 43.463839, 142.482822
12. ฟาร์มคันโนะ (Kanno Farm) ประกอบด้วยทุ่งดอกไม้และไร่สวนริมทาง เปิดให้เข้าชมในช่วงเดือนมิถุนายน – เดือนตุลาคมไม่มีวันหยุดแต่ดอกลาเวนเดอร์จะบานเต็มทุ่งช่วงกลางเดือนกรกฎาคม เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมฟรี ภายในประกอบด้วยทุ่งดอกลาเวนเดอร์ที่กำลังเบ่งบานไปทั่วเนินเขาและดอกไม้สายพันธุ์อื่นๆ สีสันสดใส ได้แก่ ซัลเวีย, ดาวเรือง, ป๊อปปี้และดอกไม้อื่นๆ มีร้านขายของที่ระลึกและร้านอาหารคอยให้บริการแก่นักท่องเที่ยว อาทิ ผลิตภัณฑ์จากดอกลาเวนเดอร์, งานหัตถศิลป์และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรจากไร่คันโนะ
วิธีการเดินทาง: จากสถานีรถไฟบิบาอุชิ (Bibaushi Station) จากนั้นเดินเท้าต่อไปอีกประมาณ 15 นาที
GPS: 43.542760, 142.438902
13. วนอุทยานคานายามะโก (Kanayamako Forest Park) ทุ่งลาเวนเดอร์กว้างตั้งขนานไปกับทะเลสาบคานายามะ (Kanayama Lake) รายล้อมไปด้วยป่าทึบและภูเขาให้บรรยากาศที่เงียบสงบและสดชื่น มีลักษณะพื้นที่เป็นเนินเตี้ยๆ ลาดลงไปยังทะเลสาบ สามารถเข้าชมได้ฟรี บริเวณใกล้เป็นลานกางเตนท์สำหรับการทำกิจกรรมแคมปิ้ง รวมทั้งกิจกรรมอื่นๆ เช่น พายเรือแคนู, โกคาร์ทและตกปลา เป็นต้น
วิธีการเดินทาง: รถไฟสถานีคานายามะ (Kanayama Station) สาย Nemuro Line จากหน้าสถานีต่อรถแท็กซี่ไปอีกประมาณ 9.9 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 นาที
GPS: 43.160060, 142.490635
14. ทุ่งชิกิไซโนะโอกะ (Shikisai no Oka) ฟาร์มดอกไม้ยอดนิยมที่มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนกันไปเป็นจำนวนมากของพื้นที่บิเอและถือว่าเป็นทุ่งดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดของบิเออีกด้วย ซึ่งหากได้ไปเยือนสักครั้งรับรองว่าคุณจะตกหลุ่มรักฤดูร้อนของเมืองนี้ได้ไม่ยากด้วยวิวแบบพาโรนามาของดอกไม้นานาพรรณท่ามกลางท้องฟ้าสีสันสดใส ที่ฟาร์มแห่งนี้จะสามารถเข้าชมดอกไม้ได้ตั้งแต่เดือนเมษายนเรื่อยไปจนถึงกลางเดือนตุลาคมกับดอกไม้ตามฤดูกาล เช่น ลาเวนเดอร์, ทิวลิป, ซัลเวีย, รักเร่, ทานตะวันและอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากการชมดอกไม้แล้วที่ชิกิไซโนะโอกะยังมีกิจกรรมให้ร่วมสนุกอีกมากมาย ได้แก่ ถ่ายรูปและให้อาหารอัลปากา, ปั่นจักรยานและนั่งรถแทร็กเตอร์ชมดอกไม้ เป็นต้น รวมไปถึงร้านอาหารและร้านค้าที่เปิดจำหน่ายสินค้าทางการเกษตรของเมืองบิเอ ส่วนเมนูอาหารที่แนะนำคือ ซอฟท์ครีมหรือโคโรเกะหรือแกงกะหรี่อุด้งที่ขอบอกเลยว่าจะติดใจ
วิธีการเดินทาง: จากหน้าสถานีรถไฟบิบาอุชิ (Bibaushi Station) จากหน้าสถานีเดินเท้าไปอีกประมาณ 2.1 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 20 นาที
GPS: 43.529005, 142.464351
15. สวนไซกะโนะซาโตะ(Saika no Sato) หรืออีกชื่อคือไร่ไซกะ (Saika farm) ตั้งอยู่ในพื้นที่ของฟาร์มซาซากิ (Sasaki Farm) ภายในสวนคือทุ่งดอกลาเวนเดอร์และดอกทานตะวัน หนึ่งในสวนดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดของเกาะฮอกไกโดขนาด 6 เฮกตาร์ มีทุ่งดอกไม้หลายชนิดปลูกสลับกันไปให้ได้ชมกัน เช่น ป๊อบปี้, ลูปิน, ทานตะวันและซัลเวีย เป็นต้น จากความหลากหลายของดอกไม้แต่ละชนิดนี้เองที่สร้างความตื่นตาตื่นใจและเสน่ห์ให้กับไซกะโนะซาโตะเป็นอย่างมาก ทุ่งดอกไม้ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของสวนแห่งนี้คือทุ่งดอกลาเวนเดอร์ในช่วงหน้าร้อนประมาณปลายเดือนกรกฎาคมไปจนถึงต้นเดือนสิงหาคมที่จะเปลี่ยนให้เนินเขากลายเป็นสีม่วงทั้งหมด โดยจะมีวิวของภูเขา Tokachidake และภูเขา Ashibetsudake เป็นฉากหลังบนเนินเขาด้วย นอกจากนี้ยังสามารถเก็บดอกลาเวนเดอร์กลับบ้านได้ด้วยในราคา ¥ 700 ต่อถุง
วิธีการเดินทาง: จากหน้าสถานีรถไฟนากะฟุราโน่ (Naka-Furano Station) สาย Furano Line จากหน้าสถานีเดินเท้าไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 10 นาที
GPS: 43.406104, 142.411787
16. สวนลาเวนเดอร์มิยามะ (Miyama Pass Lavender Garden) ทุ่งดอกลาเวนเดอร์ริมทางหลวงหมายเลข 237 มีลักษณะเป็นเนินเตี้ยๆ ริมถนน สามารถมองเห็นวิวเทือกเขาโทคาคิดิเกะ (Tokachidake mountain range) ได้อย่างชัดเจน ตั้งอยู่ในเขตชายแดนของเมืองคามิฟุราโน่และเมืองบิเอ ซึ่งหากไปในวันที่แดดจ้ารับรองได้ว่าคุณจะต้องประทับใจในทิวทัศน์ที่น่าทึ่งอย่างแน่นอน
วิธีการเดินทาง: จากป้ายรถบัสมิยามะ (Miyama Touge) เดินเท้าต่อไปอีก 5 นาที
GPS: 43.505404, 142.458744
17. ฟาร์มลาเวนเดอร์โชอิ (Choei Lavender Farm Nakafurano) อีกหนึ่งทุ่งดอกลาเวนเดอร์ที่คุณไม่ควรพลาดซึ่งนักท่องเที่ยวบางท่านอาจจะรู้จักกันในชื่อ สวนดอกไม้นากะฟุราโน่ (Nakafurano Flower Park) พื้นที่สวนตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ มีแชร์ลิฟต์ (Chairlift) ให้นั่งชมดอกไม้และใช้ขึ้นไปบนเนิน เอกลักษณ์ของสวนโชอิคือการทำลวดลายการปลูกดอกไม้เป็นตัวอักษรตรงกลางของพื้นที่
วิธีการเดินทาง: จากหน้าสถานีรถไฟนากะฟุราโน่ (Nakafurano Station) จากหน้าสถานีเดินเท้าไปอีกประมาณ 15 นาที
GPS: 43.410094, 142.422496
18. สวนฮิกาชิโมโกโตะ (Higashi Mokoto Shibazakura Park) สวนเก่าแก่และมีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งสร้างขึ้นเมื่อปี 1956 ทุ่งดอกชิบะซากุระหรือดอกมอส (Moss Phlox) หนึ่งในดอกไม้ที่นิยมปลูกกันมากในช่วงฤดูใบไม้ผลิของประเทศญี่ปุ่นที่จะเปลี่ยนให้ทั้งเนินขากลายเป็นสีชมพูสดใส จะเริ่มเบ่งบานตั้งแต่ช่วงต้นเดือนพฤษภาคมไปจนถึงเดือนมิถุนายนของทุกปีซึ่งจะเริ่มบานหลังดอกซากุระ ขนาดพื้นที่กว้างใหญ่ด้วยพื้นที่มากถึง 100,000 ตารางเมตร
ค่าเข้าชม: ¥ 500
วิธีการเดินทาง: โดยรถไฟลงที่สถานีอะบาชิริ (Abashiri Station) จากนั้นต่อด้วยรถบัสอะบาชิริ (Abashiri Kotsu Bus) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 50 นาที ลงป้าย Higashi Mokoto และต่อรถแท็กซี่อีกประมาณ 5 นาที
GPS: 43.782894, 144.310779
19. สวนทิวลิปคามิยูเบทสึ (Kamiyubetsu Tulip Park) สวนทิวลิปที่มีชื่อเสียงและใหญ่ที่สุดในฮอกไกโดห่างจาก Takinoue Park ไปประมาณ 65 กิโลเมตร มีขนาดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่กว่า 70,000 ตารางเมตร สวนแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตฮอกไกโดตะวันตกของเมืองยูเบทสึ ตกแต่งสวน้วยสไตล์แบบชาวดัตช์มีกังหันลมขนาดใหญ่กระจายอยู่เต็มสวน ด้วยดอกทิวลิปกว่า 1.2 ล้านดอกปลูกไว้เต็มลานกว้างกว่า 200 ชนิดหลากสีปลูกสลับกันไป อีกทั้งยังมีพิพิธภัณฑ์, ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวและ ร้านอาหารให้นั่งรับประทานอาหารและของว่างระหว่างชมดอกไม้สวยๆ ช่วงที่เหมาะสมสำหรับการไปเที่ยวคือ ช่วงเทศกาลคามิยูเบทสึ (Kamiyubetsu Tulip Fair) ซึ่งจะจัดขึ้นช่วงต้นเดือนพฤษภาคม – ต้นเดือนมิถุนายนของทุกปี
วิธีการเดินทาง:
- จากซัปโปโร โดยสารรถบัสสาย Hokkaido Chuo หรือสาย Dohoku ที่วิ่งจาก Sapporo-Asahikawa-Monbetsu จากเมืองมอนเบ็ทสึนั่งแท็กซี่ต่อไปอีกประมาณ 30 กิโลเมตร
- จากฮอกไกโด โดยรถไฟจากสถานีฮอกไกโด (Hokkaido Station) สาย Sapporo-Asahikawa-Abashiri Line ลงที่สถานีอีงารุ (Engaru Station) จากหน้าสถานีต่อด้วยรถแท็กซี่ไปอีกประมาณ 12 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที
GPS: 44.159179, 143.578935
20. สวนทาคิโนอูเอะ (Takinoue Park) สวนสวรรค์แห่งพิงค์มอสของฮอกไกโด ตั้งอยู่ในเมืองทาคิโนอูเอะ หนึ่งในสวนที่มีเอกลักษณ์และมีสีสันมากที่สุดแห่งหนึ่งในปฏิทินดอกไม้ของฮอกไกโดโดยทุกปีจะมีการจัดเทศกาลชิบะซากุระ (Shibazakura (Pink Moss) หรือดอกพิงค์มอสขึ้นมาซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงที่ดอกไม้บานในช่วงฤดูใบไม้ผลิปลายเดือนพฤษภาคม – กลางเดือนมิถุนายน ด้านหลังคือเทือกเขาไดเซ็ทสึ (Daisetsuzan Mountain Range) ภายในสวนจะมีการปลูกทิวลิปแซมเข้าไปเพื่อประดับประดาไปตามเส้นทางเดินขึ้นเนินเขา สวนแห่งนี้เริ่มปลูกมาตั้งแต่ปี 1956 เรื่อยมาจนเต็มพื้นที่กว่า 100,000 ตารางเมตร ค่าเข้าชม ¥ 500
วิธีการเดินทาง:
- รถบัสสาย Hokkaido Chuo และสาย Dohoku วิ่งจาก Sapporo – Asahikawa – Takinoue – Monbetsu สามารถเช็คตารางเวลาได้ที่เว็บไซต์
- รถบัสสาย Hokumon เป็นรถบัสท้องถิ่น วิ่งระหว่าง Takinoue และ Monbetsu
เมื่อมาถึงเมืองทาคิโนอูเอะแล้ว ให้ต่อรถแท็กซี่ไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร หรือเดินเท้าอีกประมาณ 20นาที
GPS: 44.197636, 143.075883
21. ทุ่งดอกทานตะวันโฮคุเรียว (Hokuryu Sunflower Field) ดอกทานตะวันเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของฤดูร้อนในจังหวัดฮอกไกโด โฮคุเรียวถือเป็นหนึ่งในสามของทุ่งดอกทานตะวันที่มีชื่อเสียงของเมืองโฮคุเรียวซึ่งห่างจากเมืองซัปโปโรออกไปประมาณ 100 กิโลเมตร มีพื้นที่ขนาดใหญ่ 23 เฮกตาร์ปลูกดอกทานตะวันไว้กว่า 1.5 ล้านดอกและจะเริ่มบานเต็มที่ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคมถึงกลางเดือนสิงหาคมเริ่มปลูกมาตั้งแต่ปี 1979 บริเวณไร่โฮคุเรียวมีร้านขายของที่ระลึกและร้านอาหารที่ใช้ดอกทานตะวันเป็นวัตถุดิบคอยให้บริการ พร้อมทั้งบริการรถแทร็คเตอร์ทัวร์ชมทุ่งดอกไม้ เปิดให้เข้าชมได้ฟรี
วิธีการเดินทาง: โดยรถบัสจากหน้าสถานีรถไฟทาคิกาสะ (Takigawa Station) หรือสถานีฟุคากาวะ (Fukagawa Station) ลงที่ป้าย Himawarinosato Hokuryu Chugakko mae
GPS: 43.740915, 141.872388
22. สวนยูนิ (Yuni Garden) สวนดอกไม้และสมุนไพรที่ถูกออกแบบมาในสไตล์สวนอังกฤษ แบ่งย่อยออกเป็น 15 สวนเล็กๆ บนพื้นที่ขนาดใหญ่ประมาณ 14.2 เฮกตาร์ปลูกดอกไม้และสมุนไพรที่มีตามฤดูกาลนั้นๆ เช่น มากาเร็ตและRape Blossomที่จะเริ่มบานในช่วงฤดูใบไม้ผลิ อีกทั้งยังสามารถชมดอกซากุระได้จากสวนแห่งนี้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีทั้งร้านอาหารและตลาดจำหน่ายสินค้าทางการเกษตรอยู่ภายในสวนยูนิอีกด้วย
วิธีการเดินทาง: จากหน้าสถานีรถไฟยูนิ (Yuni Station) จากหน้าสถานีสามารถเดินเท้าหรือใช้บริการรถแท็กซี่ซึ่งอยู่ห่างออกไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 30 นาที
GPS: 42.997258, 141.772178
23. ทุ่งดอกทานตะวันฮอกไกโดริทสึ (Hokkaido Ritsu Sun Pillar Park) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของอาซาฮิกาวะ (Asahikawa) ฟาร์มดอกทานตะวันแห่งนี้มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองรองจากฟาร์มของเมืองโฮคุเรียว ซึ่งบริเวณนี้จะมีทุ่งทานตะวันขนาดใหญ่ 2 แห่งรอบๆ Hokkaido Ritsu Sun Pillar Park ซึ่งมองแล้วเหมือนกับท้องทะเลดอกทานตะวันสีเหลือง ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของการชมดอกทานตะวันคือในช่วงเดือนสิงหาคมตั้งแต่กลางเดือนไปจนถึงปลายเดือน
วิธีการเดินทาง: จากหน้าสถานีรถไฟนิสชัน (Nisshin Station) จากหน้าสถานีสามารถเดินเท้าหรือใช้บริการรถแท็กซี่ซึ่งอยู่ห่างออกไปอีกประมาณ 2.2 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 25 นาที
GPS: 44.373624, 142.482226
24. สวนชิอาวะเสะ (Shiawase-iro no Oka) ทุ่งดอกเรพซีดหรือดอกคาโนลาสีเหลืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศญี่ปุ่นบานสะพรั่งในช่วงเวลาเดียวกับดอกซากุระ ตัวดอกสามารถรับประทานได้เป็นดอกไม้ที่คนญี่ปุ่นคุ้นเคยเป็นอย่างดี และในทุกปีจะมีการจัดงานเทศกาลดอกเรพซีดในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมถึงต้นเดือนมิถุนายนอีกด้วยซึ่งจะบานเต็มที่และมีความสูงราว 1 เมตร
วิธีการเดินทาง: จากหน้าสถานีรถไฟเอเบโอสึ (Ebeotsu Station) จากหน้าสถานีสามารถเดินเท้า ใช้เวลาเดินประมาณ 11 นาที
GPS: 43.6361117, 141.9128854
25. ฟาร์มอูเอโนะ (Ueno Farm) ตั้งอยู่ในเมืองอาซาฮิกาวะของจังหวัดฮอกไกโด เป็นสวนขนาดใหญ่เพื่อการท่องเที่ยวซึ่งแต่เดิมเคยเป็นฟาร์มเพื่อการเกษตรมาก่อน มีการตกแต่งได้อย่างน่ารักราวกับโลกนิทานมีทั้งกำแพงอิฐ, หอหลังคาสามเหลี่ยม เพิ่มบรรยากาศให้ดูโรแมนติกยิ่งขึ้นและเต็มไปด้วยมุมน่ารักๆ สำหรับถ่ายรูปมากมาย มีการแบ่งออกเป็นสวนย่อยๆ อาทิ สวนของโนม (Nome’s Garden), สวนของแม่ (Mother’s Garden) ซึ่งเป็นสวนขนาดใหญ่กับดอกไม้นานาชนิด ค่าเข้าชม ¥ 600
วิธีการเดินทาง: จากหน้าสถานีรถไฟนิสชัน (Nisshin Station) สาย Sekihokuhonsen Line จากหน้าสถานีเดินต่อไปอีกประมาณ 15 นาที
GPS: 43.808381, 142.485274