ฮอกไกโดหน้าเดียวจบ! [HOKKAIDO TALON GUIDE] รีวิว เที่ยว กิน ช้อป ที่พัก การเดินทาง
Photo by pika1935 from flickr.com/photos/93256705@N05/28531761175 [CC by 2.0]
สำหรับคนที่กำลังวางแผนจะไปเที่ยวฮอกไกโดเป็นครั้งแรก ในหน้านี้เราได้รวมรวบข้อมูลทุกอย่างเกาะฮอกไกโดมาภูมิภาคทางตอนเหนือสุดและหนาวที่สุดของญี่ปุ่นเท่าที่จำเป็นมาไว้ให้แล้ว มีให้ครบตั้งแต่เริ่มต้นวางแผนการเดินทางจนจบทริป ครบจบในหน้านี้หน้าเดียว ไปเที่ยวได้เลย กับ HOKKAIDO TALON GUIDE
ไปเที่ยวฮอกไกโดกันเถอะ
ฮอกไกโด(Hokkaido) เป็นภูมิภาคที่เป็นเกาะอยู่ทางตอนบนสุดของประเทศญี่ปุ่น ที่ขึ้นชื่อเรื่องแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ลานสกี น้ำแข็ง หิมะ ทุ่งดอกไม้ รวมถึงอาหารและขนมสุดอร่อยอีกมากมาย เช่น ปูขนฮอกไกโด อาหารทะเลชื่อดังและเมนูซีฟู้ดอื่นๆ ที่บอกเลยว่าห้ามพลาดที่จะไปลองชิมเด็ดขาด แถมยังมีขนมของฝากที่เฉพาะตัวไม่เหมือนส่วนอื่นๆของญี่ปุ่นให้คุณได้เลือกซื้อไปฝากคนทางบ้านอีกด้วย หรือหากใครอยากทำกิจกรรมสนุกๆ อย่างการเล่นสกีหรือการลากเลื่อนไปบนหิมะ ก็จะต้องมาเที่ยวในช่วงหน้าหนาวกันเลย รับรองว่าไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน และนี่ก็คือจุดเด่นของฮอกไกโด ที่คุณควรมาเที่ยวให้ได้สักครั้งนั่นเอง
ฮอกไกโด ช่วงไหนน่าเที่ยวบ้าง
สภาพอากาศส่วนใหญ่ของฮอกไกโดจะหนาวเย็นมากในฤดูหนาว และอากาศกำลังสบายในฤดูร้อน ทางตะวันออกมักจะมีอากาศหนาวเย็นกว่าทางตะวันตกซึ่งมักจะมีเมืองใหญ่ๆตั้งอยู่ นอกจากนี้อุณหภูมิบนยอดเขาจะหนาวเย็นกว่าที่ราบด้วย และถึงแม้ว่าเกาะฮอกไกโดจะไม่ได้ใหญ่โตมากนักแต่ด้วยความที่ตอนกลางของเกาะจะมีภูเขาสูงอยู่มากมายรวมทั้งติดกับทะเลที่มาจาก 3 แหล่งด้วยกันทำให้ในแต่ละส่วนของเกาะฮอกไกโดอาจจะมีอากาศที่แตกต่างกันได้มากด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม อากาศที่ฮอกไกโดจะไม่ค่อยได้รับผลของพายุฤดูฝนในช่วงกลางปีเหมือนกับเกาะอื่นๆของญี่ปุ่น ทำให้การมาท่องเที่ยวในช่วงกลางปีจะไม่ค่อยเจอพายุฝน คนญี่ปุ่นจึงนิยมเดินทางมาเที่ยวฮอกไกโดในช่วงกลางปีจนถึงฤดูร้อน อีกทั้งฮอกไกโดยังเป็นหนึ่งพื้นที่ของญี่ปุ่นที่มีชายหาดที่สวยงามที่สุดในประเทศด้วย
เดือนที่ร้อนที่สุดของฮอกไกโด คือ เดือนสิงหาคม
เดือนที่หนาวที่สุดของฮอกไกโด คือ เดือนมกราคม
เดือนที่ฝนตกมากที่สุดของฮอกไกโด คือ เดือนกันยายน
เดือนที่กลางวันยาวนานมากที่สุดของฮอกไกโด คือ เดือนพฤษภาคม
ไฮไลท์การท่องเที่ยวฮอกไกโดมีอยู่ หลายอย่างด้วยกัน แต่ที่ถูกใจคนไทยคงจะไม่พ้นหิมะหนานุ่มที่พบเจอได้ตลอดหน้าหนาวตั้งแต่เดือนธันวาคมถึงเดือนมีนาคม หรือจะเป็นทุ่งดอกไม้สุดอลังการในฤดูร้อนโดยเฉพาะช่วงเดือนกรกฏาคมและสิงหาคม ส่วนใบไม้แดงก็สวยงามแปลกตาไม่แพ้ที่อื่นๆของญี่ปุ่น ส่วนที่จะน้อยกว่าพื้นที่อื่นๆอยู่บ้างก็เป็นดอกซากุระที่มีให้ชมเหมือนกันแต่จะไม่ได้มากมายอลังการนัก
สรุปได้ว่า ไม่ว่าฤดูไหนๆ ก็สามารถไปเที่ยวฮอกไกโดได้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากจะไปเที่ยวในสภาพอากาศแบบไหนหรือมีจุดประสงค์ในการท่องเที่ยวอย่างไรนั่นเอง เพียงแต่จะต้องเลือกช่วงเวลาให้เหมาะกับสิ่งที่เราต้องการเดินทางไปชมซักหน่อย เช่น ควรจะรู้ว่าช่วงพีคของการชมซากุระเป็นช่วงไหน หรือช่วงพีคของการชมใบไม้เปลี่ยนสีเป็นช่วงไหน หรืองานเทศกาลน้ำแข็งและหิมะจัดเมื่อไหร่ ไปจนถึงช่วงไหนที่ทุ่งดอกไม้จะบานสวยงามเต็มที่ เพราะถ้าไปผิดช่วงอาจจะเห็นน้อยแต่อย่างไรฮอกไกโดก็มักจะมีเสน่ห์อื่นๆที่แตกต่างให้คุณไปค้นหาได้อยู่ดี
เที่ยวฮอกไกโด ใช้เงินประมาณเท่าไหร่
สำหรับคนที่เคยไปญี่ปุ่นมาแล้ว การไปเที่ยวฮอกไกโดจะมีค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ใกล้เคียงกันหรือถูกกว่าเล็กน้อย เมื่อเทียบกับเมืองใหญ่อื่นๆของญี่ปุ่น อย่างเช่น โตเกียว หรือโอซาก้า แต่สิ่งที่มักจะแพงกว่า คือ ค่าการเดินทาง เริ่มตั้งแต่ตั๋วเครื่องบินเลย เพราะอยู่ไกลที่สุดจากเมืองไทย และสถานที่ท่องเที่ยวมักจะกระจายตัวออกไปตามส่วนต่างๆของเกาะทำให้ถ้าเดินทางเที่ยวหลายๆที่ก็จะมีค่าเดินทางที่สูงขึ้นตามมาด้วย
▌สรุปงบประมาณการท่องเที่ยวฮอกไกโด
ค่าตั๋วเครื่องบิน ไปกลับ 12,000 – 30,0000 บาท
ค่าที่พัก คืนละ 700 – 1,500 บาท ต่อคืนต่อคน
ค่าอาหาร เฉลี่ยมื้อละ 500 บาท หรือ 1,000 – 1,500 บาท ต่อวัน
ค่าสถานที่ท่องเที่ยว วันละ 500 – 1,000 บาทต่อวัน
ค่าเดินทาง 200 – 500 บาท ต่อวัน
รวมค่าใช้จ่ายต่อวัน 1,700 – 3,000 บาท (ไม่รวมค่าที่พัก)
แบบ 4 วัน 3 คืน แบบประหยัดที่สุด ประมาณ 21,000 บาท แต่ทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 30,000 บาท (ไม่รวมช้อปปิ้ง และอื่นๆ)
แบบ 6 วัน 5 คืน แบบประหยัดที่สุด ประมาณ 26,000 บาท แต่ทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 40,000 บาท (ไม่รวมช้อปปิ้ง และอื่นๆ)
สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในฮอกไกโด
ฮอกไกโด(Hokkaido)มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายที่น่าสนใจเพราะเป็นเกาะขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บริเวณทิศเหนือสุดของญี่ปุ่น จึงมีภูมิประเทศที่เย็นสบายตลอดทั้งปี รวมไปถึงทิวทัศน์ตามธรรมชาติที่ควรมาชมให้ได้สักครั้งในชีวิต และถ้าใครอยากทดลองแช่น้ำพุร้อนแบบออนเซ็น ที่ฮอกไกโดก็มีให้บริการมากมายไม่แพ้ที่อื่นเช่นกัน แล้วภูมิภาคนี้จะมีอะไรน่าสนใจบ้าง ตามไปดูตัวอย่าง 8 สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของฮอกไกโด กันเลยครับ
จุดชมดอกลาเวนเดอร์ที่ดีที่สุดคือ ฟาร์มโทมิตะ(Farm Tomita) ซึ่งมีวิวทิวทัศที่สวยงามจากฉากหลังเป็นภูเขาโทกะชิ(Tokachi mountain) ซึ่งเปิดให้เข้าชมฟรีอย่างอิสระ ใกล้ๆกับทุ่งดอกไม้ยังมีร้านกาแฟ ร้านค้าจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากลาเวนเดอร์อีกด้วย
ธารน้ำแข็งอะบาชิริ เป็นความพิเศษของฮอกไกโดที่ควรมาชมและสัมผัสสักครั้งในชีวิต หากเดินทางมาในช่วงเดือนมกราคม – เดือนมีนาคม เพราะโดยทั่วไปแล้ว ธารน้ำแข็งมักจะเกิดขึ้นบริเวณมหาสมุทรอาร์กติกเท่านั้น แต่จะดูแต่ธารน้ำแข็งเพียงอย่างเดียวก็คงไม่สนุก ต้องลองนั่งเรือตัดน้ำแข็งเพื่อชมทัศนียภาพรอบ ๆ ด้วย เหตุที่เรียกว่าเรือตัดน้ำแข็งก็เพราะว่า เมื่อเรือชนเข้ากับแผ่นน้ำแข็ง น้ำแข็งก็แยกตัวออกไปเพื่อให้เรือสามารถเดินทางต่อไปได้นั่นเอง โดยเรือจะมีให้บริการ 4-5 รอบต่อวัน ซึ่งหากใครอยากจะไปล่องเรือชมธารน้ำแข็งที่น่าตื่นตาตื่นใจก็ต้องตรวจสอบเวลาให้ดีก่อนด้วย
ซัปโปโรทีวีทาวเวอร์ เป็นหอส่งสัญญาณโทรทัศน์ในเมืองซัปโปโร ที่มีความสูงถึง 142.7 เมตร อยู่บริเวณทิศตะวันออกของสวนสาธารณะโอโดริ ความพิเศษที่ทำให้นักท่องเที่ยวต้องมาเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ ก็คือการที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นไปชมวิวบริเวณความสูงจากพื้นดิน 90 เมตร และมีงานเทศกาลจัดอยู่รอบ ๆ ตลอดทั้งปี
ครบแล้วกับ 8 ไฮไลท์ที่เที่ยวในฮอกไกโด ซึ่งจริงๆยังมีสถานที่น่าสนใจให้เลือกชมได้อีกมาก ถ้าใครยังไม่จุใจก็ตามไปดูกันต่อได้ตามลิงค์ด้านล่างเลย
ของกินสุดอร่อย ห้ามพลาดในซัปโปโร
เกาะฮอกไกโดนี้มีชื่อเสียงด้านวัตถุจากทะเลมาก เช่น ปูขนฮอกไกโด เพราะเป็นอุตสาหกรรมหลักของที่นี่ โดยเฉพาะที่เมืองซัปโปโร(Sapporo) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่มีความคึกคักมากที่สุดในบรรดาเมืองทั้งหมดของภูมิภาคฮอกไกโด อีกทั้งยังเป็นเมืองหลักที่มีเที่ยวบินจากเมืองไทยไปลง จึงไม่แปลกที่จะมีนักท่องเที่ยวมากมายที่ได้แวะเวียนมาพักผ่อนที่สถานที่แห่งนี้ เมืองซัปโปโรเป็นเมืองที่มีร้านอาหารท้องถิ่นอยู่จำนวนมาก และทุกร้านเน้นในเรื่องของการใช้วัตถุดิบที่สดใหม่จากท้องถิ่น ซึ่งเรามีร้านแนะนำกันอยู่หลายร้าน ที่อร่อยฟินได้ในราคาเบาๆ
ร้านซูชิสุดอร่อย ที่มีราคาไม่แพงมากนัก เป็นร้านซูชิ ชื่อดังที่มีสาขามากมายทั่วเมืองซัปโปโร รวมถึงโตเกียวด้วย โดยมีต้นกำเนิดอยู่ที่เมือง Nemuro ซึ่งเป็นเมืองท่าเรือชื่อดังอยู่ทางตะวันออกของเกาะฮอกไกโด หนึ่งในสาขาที่เราจะแนะนำนั้นไปได้ง่ายๆ คืออยู่ในโซนร้านอาหารของตึก JR Sapporo ชั้น 6 ชื่อว่า Stellar Place พอไปถึงก็ให้เดินเลี้ยวซ้ายไปจนสุดเลย จะเห็นคนต่อคิวเข้าร้านจำนวนมาก ก็ให้เดินไปกดบัตรคิวแล้วยืนหรือนั่งรอ เมื่อเข้าไปในร้าน จะมีเมนูซูชิภาษาอังกฤษพร้อมราคาให้เลือก โดยซูชิจะมาในรูปแบบของสายพาน ถูกใจจานไหนก็จัดเลย คุ้มค่าคุ้มราคา สายซูชิไม่ควรพลาด
การเดินทาง : นั่งรถไฟไปลงที่สถานีซัปโปโร แล้วไปที่ตึก JR ชั้น 6 โซน Stella Dining
ร้าน Sapporo Junren เป็นร้านขายราเม็งใกล้ ๆ สถานี Sumikawa ที่มีอายุมากกว่า 50 ปีแล้ว มีจุดเด่นอยู่ที่ “มิโสะราเม็ง” ที่เป็นของขึ้นชื่อของฮอกไกโด ด้วยความเค็มอ่อน ๆ อมเปรี้ยวเล็กน้อย ของน้ำซุปที่ได้จากการหมักถั่วเหลืองให้กลายเป็นมิโสะ พร้อมด้วยท็อปปิ้งเป็นเนื้อหมูขนาดพอดีคำ ข้าวโพดหวาน ๆ ตัดกับรสชาติน้ำซุป และหน่อไม้กับเต้าหู ที่ช่วยเพิ่มรสชาติให้ดียิ่งขึ้น จึงทำให้มีลูกค้าทั้งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวมาเข้าคิวซื้อมิโสะราเม็งกันแบบล้นร้านเลยทีเดียว
การเดินทาง : นั่งรถไฟไปลงที่สถานี Sumikawa และเดินต่ออีกประมาณ 5 นาที
อาหารขึ้นชื่ออีกหนึ่งอย่างที่ควรลิ้มลองสักครั้งหากเดินทางมาซัปโปโรก็คือ “เนื้อเจงกิสข่าน (เนื้อแกะ)” นั่นเอง โดยร้าน Jingisukan Daruma จะเป็นร้านเล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในตรอกไม่ไกลจาก Subway มากนัก เมื่อไปถึงก็อาจจะต้องต่อคิวสักหน่อย เพราะเป็นร้านที่ชาวญี่ปุ่นนิยมมากที่สุด เนื่องจากเนื้อแกะสด เครื่องเคียงสะอาด และราคาไม่แพง ยิ่งถ้าย่างเนื้อแกะพอฉ่ำ ๆ ไม่สุกมาก แล้วตามด้วยเบียร์ซัปโปโรเย็น ๆ เข้าไป ก็ยิ่งฟินจนไม่อยากลุกออกจากร้านเลยทีเดียว
การเดินทาง : นั่งรถไฟไปลงที่สถานี Susukino
ใครที่ชอบทานทงคัตสึ ก็ไม่ควรพลาดที่จะมาลิ้มลองที่ร้าน Tadumura Tonkatsu โดยเด็ดขาด ร้านตั้งอยู่ในห้างไดมารู ชั้น 8 เมื่อเดินมาถึงก็จะเห็นผู้คนต่อแถวกันอย่างเนืองแน่น ซึ่งจุดเด่นของร้านไม่ได้มีดีแค่หมูทอดทงคัตสึชิ้นใหญ่กรอบอร่อยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีซอสทงคัตสึที่ให้เราบดงาใส่ลงไปเองได้อีกด้วย ชอบมากใส่มาก ชอบน้อยใส่น้อยตามความพอใจ หรือถ้าใครไม่ชอบหมูก็ลองเปลี่ยนเป็นอาหารทะเลทงคัตสึดู อร่อยไม่แพ้กันแน่นอน แถมทงคัตสึของร้านนี้ ก็มีราคาเริ่มต้นเพียง 1,000 เยนเท่านั้น ทั้งถูกทั้งอร่อย จึงไม่แปลกเท่าไรที่จะเห็นคนต่อคิวกันมากมายโดยเฉพาะช่วงมื้อเที่ยงของวัน
การเดินทาง : นั่งรถไฟไปลงที่สถานีซัปโปโร แล้วเดินไปที่ห้างไดมารู
อันดับสุดท้าย ดังสุด ฮิตสุด อะไรสุดหมด ต้องร้านบุฟเฟ่ขาปู นันดะ(Nanda) ที่ย่าน Susukino ร้านนี้เลย คนไทยไปกินกันเยอะถึงขนาดมีเตรียมน้ำจิ้มซีฟู้ดไว้ให้ด้วย มีขาปูเรียงให้กินกันละลานตา รวมถึงอาหารทะเลและอื่นๆอีกร่วม 100 รายการ เป็นร้านแบบบุฟเฟ่ กินไม่อั้น เปิดวันละแค่ 2 รอบคือรอบเที่ยงกับรอบเย็น รอบเที่ยงกินได้ 70 นาที ราคาประมาณ 4,000 เยน ส่วนรอบเย็นกินได้ 100 นาที ราคาประมาณ 5,100 เยน
วิธีการเดินทาง: อยู่ที่สถานี Susukino ชั้นใต้ดิน B2F ของตึก Cyber City
ถ้าไปกันหลายคนแนะนำให้จองที่เว็บไซต์หลักได้เลย: http://g-nanda.com/reservation/
ซื้ออะไรดีที่ฮอกไกโด
ถึงแม้ว่าฮอกไกโดจะเป็นภูมิภาคที่มีอากาศหนาวแต่ฮอกไกโดก็ยังสามารถทำการเกษตรได้เหมือนกับภูมิภาคอื่นๆ ดังนั้นจึงทำให้สินค้าและของฝากจากที่นี่มีความหลากหลายเหมาะแก่การหาซื้อติดไม้ติดมือกลับไป ไม่ว่าจะเป็น ผลิตภัณฑ์อบแห้งจากทะเล ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากนมฮอกไกโดที่ขึ้นชื่อและได้รับการยอมรับกันอย่างแพร่หลายว่าเป็นนมที่มีคุณภาพสูงระดับโลกและบรรดาขนมขึ้นชื่อของฮอกไกโดทั้งกล่องน้อยใหญ่พร้อมแพ็คเกจน่ารักๆ ก็ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ ของรายการของฝากที่ต้องซื้ออีกด้วย
มันฝรั่งแผ่นหยักทอดกรอบเคลือบช็อคโกแลตจาก Royce’ การผสมผสานกันของรสชาติระหว่างความหวานจากช็อคโกแลตแท้ๆ และรสเค็มของมันฝรั่งที่เข้ากันได้อย่างลงตัว แทบจะละลายในปากทันทีด้วยรสชาติที่แพร่กระจายออกมาเมื่อคุณได้ลิ้มลอง
นอกจากรสช็อคโกแลตแท้ดั้งเดิมที่ขึ้นชื่อแล้ว Royce’ ยังมีรสอื่นๆ อีกมากมายให้คุณได้ลองชิม อาทิ โกโก้รสเข้ม, ไวท์ช็อคโกแลต, คาราเมลและชีส หรือจะเลือกแบบหวานมากหวานน้อยก็ได้ตามต้องการ
ราคา: 190 กรัม ราคา ¥ 778
หาได้จาก: ร้าน ROYCE’ หลายสาขาทั่วซัปโปโรหรือร้านขายของที่ระลึกในฮอกไกโด
อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ยอดนิยมจาก Royce’ กับขนมจากช็อคโกแลตแท้สูตรเข้มข้น ด้วยส่วนผสมของช็อคโกแลตและครีมสดซึ่งเป็นครีมสดที่ผลิตในฮอกไกโด ความโดดเด่นของช็อคโกแลต Nama คือรสชาติเข้มข้นละลายในปากแต่งกลิ่นด้วยเหล้าฝรั่งให้รสชาติที่นุ่มนวลและโรยด้วยผงโกโก้ด้านบนเพื่อเพิ่มรสชาติ เนื่องจากมีส่วนผสมของครีมสดดังนั้นจึงควรเก็บรักษาที่อุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส
ราคา: ¥ 778
หาได้จาก: ร้าน ROYCE’ หลายสาขาทั่วซัปโปโรหรือร้านขายของที่ระลึกในฮอกไกโด
Le Tao หนึ่งในร้านขายชีสเค้กเก่าแก่ของฮอกไกโดเปิดให้บริการมาแล้วกว่า 15 ปี ได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงมากเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศญี่ปุ่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวที่มีโอกาสได้ไปเยือนฮอกไกโดยิ่งไม่ควรพลาดในการไปลองลิ้มชีสเค้กสดใหม่ของร้านนี้ และเป็นร้านที่รู้จักกันดีเพราะทั้งรายการโทรทัศน์ นิตยสารและหนังสือคู่มือการทำอาหารก็ต่างเอาข้อมูลไปลงเป็นรายการแนะนำผ่านสื่อสาธารณะมาแล้วมากมาย
Double Fromage ชีสเค้กสองชั้นรายการขนมระดับมาสเตอร์พีซของ Le Tao ด้วยรสสัมผัสอันน่าทึ่ง มีเอกลักษณ์อยู่ที่เนื้อเค้กเนียนนุ่ม สัมผัสบางเบาและเต็มไปด้วยรสชาติแสนอร่อย เพียงแค่คำแรกที่กัดลงไปคุณจะได้สัมผัสกับรสชาติที่นุ่มลิ้นราวกับหิมะ ด้วยวัตถุดิบหลักจากนมฮอกไกโดคุณภาพดีและความหวานที่ไม่มากจนเกินไปเคลือบด้วยครีมนมละมุนลิ้น
ที่ร้าน Le Tao นอกจากจะมี Double Fromage เป็นเมนูยอดฮิตแล้วยังมีเมนูอื่นๆ ให้ได้ลิ้มลอง อาทิ Royale Montagne, Chocolate Double, Biscuit au Fromage และขนมอื่นๆ อีกมากมาย
ราคา: ขนาด 12 เซนติเมตรราคา ¥ 1,728
หาได้จาก: ร้าน Le TAO ทั่วเมืองโอตารุ เวลาเปิดปิดแล้วแต่สาขา
หากจะพูดถึงชื่อ Jaga Pokkuru สำหรับคนทั่วไปก็อาจจะไม่ค่อยคุ้นหูกันสักเท่าไหร่ แต่หากบอกว่าขนมยี่ห้อคาลบี้ (Calbee) คงพอจะร้องอ๋อกันขึ้นมาบ้าง สำหรับ Jaga Pokkuru นั้นคืออีกหนึ่งผลิตภัณฑ์โดดเด่นของคาลบี้ บริษัทใหญ่เจ้าของตลาดขนมขบเคี้ยวขึ้นชื่อของประเทศญี่ปุ่น
Jaga Pokkuru เป็นมันฝรั่งแท่งทอดกรอบหนึ่งในรายการของฝากยอดนิยมจากฮอกไกโด ด้วยรสชาติแสนอร่อยเคี้ยวเพลินและเนื้อสัมผัสกรอบนอกนุ่มในให้ความรู้สึกถึงความเป็นมันฝรั่งแท้ๆ ทำมาจากมันฝรั่งจากฮอกไกโดทั้งหมดเนื่องด้วยกระบวนการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวที่มีคุณภาพสูงจึงทำให้ได้มันฝรั่งที่มีรสชาติดีผสมกับเกลือคั่วจาก Okhotsk ช่วยเพิ่มความกลมกล่อมให้กับ Jaga Pokkuru มากยิ่งขึ้น
ราคา: ¥ 840
หาได้จาก: ร้านค้าทั่วไปหรือสนามบินในฮอกไกโดเท่านั้น
Sanpouroku หรือขนมบามคูเฮน (Baumkuchen) เค้กสไตล์เยอรมันที่มีหลายชั้นเหมือนวงปีในเนื้อไม้ ซึ่ง Sanpouroku นับเป็นขนมขึ้นชื่อของฮอคไกโด เริ่มจำหน่ายมาตั้งแต่ปี 1965 มีที่มาจากวิธีการตัดไม้ในยุคสร้างเมืองในอดีต ซึ่งชาวญี่ปุ่นมีความเชื่อว่าวงปีนั้นหมายถึงความเจริญงอกงาม มั่นคงและยั่งยืนเหมือนต้นไม้นั่นเอง
Ryugetsu Sanpouroku มีจำหน่ายด้วยกัน 3 รสคือ ธรรมดา, เมเปิ้ลและช็อคโกแลต มีให้เลือกทั้งขนาดธรรมดาและแบบที่ตัดเป็นชิ้นเล็กๆ รสที่ขายดีที่สุดคือช็อคโกแลต ซึ่งทำมาจากช็อคโกแลตนมและไวท์ช็อคโกแลต ตัวเค้กให้ลักษณะเหมือนเปลือกต้นเบิร์ชสีขาว มีส่วนผสมของแป้งจาก Tokachi และใช้เนยกับน้ำตาลและไข่จากฮอกไกโดเป็นส่วนผสมหลัก
ความพิเศษของ Sanpouroku ของ Ryugetsu คือผิวเค้กด้านนอกที่เคลือบช็อคโกแลตมีลักษณะกรอบและเนื้อเค้กด้านในฟูนิ่มและมีรสหวานฉ่ำลิ้น
ราคา: Sanporoku 2 ชิ้นราคา ¥ 1,385
หาได้จาก:
- สาขาหลัก: 8-15 Odoriminami, Obihiro-shi, Hokkaido
- สาขา Sweetpia Garden Shop: 18-2 Nishi 9-sen Shimo-otofuke Kita, Kato-gun,Otofuke-cho, Hokkaido
Shiroi Koibito คุกกี้สอดไส้ช็อคโกแลตสไตล์ยุโรปของที่ระลึกสุดฮิตจากฮอกไกโดซึ่งไม่ใช่แค่ในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้นแต่ยังได้รับความนิยมจากต่างประเทศอีกด้วย เพียงเมื่อกัดเข้าไปก็จะพบกับความกรุบกรอบจากแผ่นคุกกี้เนยชั้นนอกและความเข้มข้นจากช็อคโกแลตแท้และความหอมหวานที่อบอวลอยู่ในปาก
เคล็ดลับของ Shiroi Koibito คือกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพและการเลือกใช้วัตถุดิบจากฮอกไกโดทั้งหมด ขนมที่ได้จึงมีความสดใหม่รสชาติอร่อยอีกทั้งยังมีราคาไม่แพงและขนาดกะทัดรัดน้ำหนักเบาเหมาะแก่การหาซื้อเป็นของฝาก
ราคา: ¥ 576 – 3,806 ขึ้นอยู่กับแต่ละขนาด
หาได้จาก: ร้านขายของที่ระลึกในฮอกไกโดและสนามบินนานาชาติโตเกียว
ไอเดีย ของดี ทีเด็ด น่าซื้อจากฮอกไกโดยังมีอีกมาก ตามไปอ่านกันต่อได้ตามลิงค์นี้เลย
[topic1]พักที่ไหนดีในซัปโปโร[/topic1]
ที่พักในเมืองหลักซัปโปโร มีให้เลือกมากมายหลากหลายทำเล แต่ที่เด่นๆก็จะมีตามสถานีใหญ่ๆ เช่น Sapporo และ Odori เช่นตัวอย่างตามโรงแรมเหล่านี้
[topic2]1. Sapporo international youth hostel[/topic2]
โรงแรมกึ่งโฮสเทลแห่งนี้ เป็นที่รู้จักกันในชื่อ “บ้านพักเยาวชนซัปโปโร” ถึงแม้จะมีชื่อเรียกว่าเป็นโฮสเทล แต่บรรยากาศทั้งภายนอกและภายในกลับเหมือนโรงแรมมากกว่า เพราะภายในมีการแบ่งห้องออกเป็น Single Room, Twin Room และ Family Room แต่ส่วนที่เหมือนโฮสเทลคือห้องน้ำรวมที่สะอาดจนแทบไม่มีที่ติ และยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เช่น อาหารเช้า (หากต้องการ เพิ่มเงินอีก 680 เยน) Wifi , อ่างอาบน้ำ, ล็อกเกอร์เก็บของ เป็นต้น ราคาเริ่มต้นประมาณ 3,000 เยนต่อคนต่อคืน ใกล้สถานี Gakuen-Mae เพียงเดินแค่ 3 นาที เช็คราคาที่ Agoda.com หรือ Booking.com
[topic2]2. Toyoko Inn[/topic2]
เป็นโรงแรมสไตล์บิสิเนสโฮเทล ฮอตฮิตของญี่ปุ่น เปิดจองออนไลน์เมื่อไร ก็เต็มทุกครั้ง เนื่องจากอยู่ติดกับสถานีรถไฟ JR ซัปโปโรเลย (มีหลายสาขาในเมืองซัปโปโร การบริการเหมือนกันทุกอย่าง) หากสมัครเป็นสมาชิก ก็จะได้รับโปรโมชั่นพิเศษต่าง ๆ เช่น พัก 10 คืน แถมฟรี 1 คืน อาหารเช้าฟรี พักเกิน 2 คืนขึ้นไปแบบไม่เปลี่ยนผ้าเช็ดตัว ลดราคาห้อง 10-15% นอกจากนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นบริการรับฝากกระเป๋า ฟรี Wifi ในราคาเพียงคืนละ 5,000 – 7,000 เยนเท่านั้น แนะสาขาที่ Toyoko Inn Hokkaido Sapporo-eki Nishi-guchi Hokudai Mae เช็คราคาที่ Agoda.com หรือ Booking.com
[topic2]3. Kaiko Sapporo Nakajima Koen Hotel[/topic2]
เป็นโรงแรมน่ารักๆ ที่มีการตกแต่งห้องอย่างอบอุ่น มีให้เลือกทั้งแบบ Single Room และ Twin Room อยู่ไม่ไกลจากสถานี Nakajima Koen มากนัก ภายในมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วน เช่น โต๊ะเขียนหนังสือ ล็อคเกอร์เก็บของ Wifi ในราคาเริ่มต้นประมาณ 3,000 เยนต่อคนต่อคืน ซึ่งก็บอกเลยว่าใครที่ต้องการห้องพักในราคาสบายๆ แต่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างน่าประทับใจ ก็ต้องเลือกพักที่นี่กันเลย เช็คราคาที่ Agoda.com หรือ Booking.com
[topic1]แผนที่ต่างๆสำหรับเที่ยวฮอกไกโด[/topic1]
แจกฟรี แผนที่เที่ยวทั่วทั้งเกาะ ฮอกไกโด และรถไฟแบบต่างๆในเมืองซัปโปโร โหลดติดเอาไว้ก่อน จะได้ไม่หลง
[caption id="attachment_12030" align="aligncenter" width="750"] free-hokkaido-map[/caption]
ดาวน์โหลดที่นี่: รวมสถานที่ท่องเที่ยวเกาะฮอกไกโด |
ดาวน์โหลดที่นี่: แผนที่เที่ยวบริเวณ ตัวเมืองซัปโปโร(Sapporo) |
ดาวน์โหลดที่นี่: แผนที่สถานที่ท่องเที่ยว รอบๆเมืองซัปโปโร(Sapporo) |
[topic1]แพลนเที่ยวฮอกไกโดแนะนำ[/topic1]
เราขอแนะนำโปรแกรมตะลอนเที่ยวฮอกไกโด 6 วัน 5 คืน แบบเน้นเก็บให้ครบที่ฮิต โดยจะเน้นเฉพาะตอนใต้และตอนกลางของเกาะที่เดินทางได้ง่ายและสะดวกเท่านั้น เพื่อที่มือใหม่หรือคนที่เคยไปครั้งแรกจะได้ไม่ต้องปวดหัวเรื่องการเดินทางมากนัก รวมทั้งโปรแกรมเที่ยวฮอกไกโดนี้ก็จะไม่ได้จัดแบบแน่นมาก จะได้มีเวลาเที่ยวแบบช้าๆลงได้ซักนิด หลงได้ซักหน่อย มาเที่ยวเองทั้งทีจะไปชะโงกแบบทัวร์ก็กระไรอยู่ แต่ถ้าใครฟิตจัด จะอัดโปรแกรมเพิ่มจากนี้ก็ย่อมได้
[topic2]วันที่ 1[/topic2]
ช่วงเช้า : เริ่มจากการเดินทางออกจากประเทศไทย โดยสายการบินที่ท่านจองไว้ (บางสายการบินอาจจะบินตรง แต่บางที่ก็อาจจะต้องไปต่อเครื่องอีก) คะเนว่าเครื่องบินน่าจะถึงสนามบิน New Chitose ช่วงเช้า เวลา 07.00 – 09.30 น. จากนั้นนั่งรถไฟ JR ไปเปลี่ยนสายที่สถานี Minami-Chitose เพื่อไปลงที่สถานี Hakodate ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง จะถึง Hakodate ประมาณ 12.00 – 13.00 น. เพิ่งมาถึงวันแรกกำลังฟิต ต้องเที่ยวหนักหน่อย
[caption id="attachment_29163" align="aligncenter" width="750"] Photo by elminium from flickr.com/photos/lumen850/5458050013/ [CC by 2.0][/caption]ช่วงบ่าย : ชมป้อมโงเรียวกาคุ หรือ ป้อมดาว 5 แฉก ป้อมปราการสมัยเอโดะที่ปัจจุบันเปิดให้เข้าชมในโซนที่ทำการผู้สำเร็จราชการที่อยู่ใจกลางป้อม และหอคอยที่จะทำให้เห็นทัศนียภาพรูปดาว 5 แฉกของป้อมอย่างชัดเจน โดยการนั่งรถรางสาย 2 หรือ สาย 5 ไปลงที่ Goryokaku Koen Mae แล้วเดินต่อไปทางทิศเหนืออีก 750 เมตร
[caption id="attachment_29110" align="aligncenter" width="750"] Photo by Jow from flickr.com/photos/128817170@N08/15711794480/ [CC by-nd 2.0][/caption]พอบ่ายแก่ๆหรือเย็นๆ ให้ไปชมวิวภูเขาฮาโกดาเตะ หนึ่งในสามจุดชมวิวกลางคืนที่สวยที่สุดในประเทศญี่ปุ่น โดยการนั่งรถประจำทางจากสถานี Hakodate ไปที่ยอดเขาได้เลย (ใช้เวลาประมาณ 30 นาที)
เมื่อเดินชมป้อมโงเรียวกาคุ และชมวิวที่ภูเขาฮาโกะดาเตะเรียบร้อยแล้ว ก็จะเป็นเวลาเย็นพอดี ขอแนะนำให้มาช้อปปิ้ง และทานอาหารเย็นที่โกดังอิฐแดงคาเนะโมริ จะให้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในยุคดั้งเดิมของญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก อิ่มหนำสำราญจนหมดแรงก็กลับเข้าที่พักใน Hakodate ค้าง 1 คืน ก่อนที่จะตะลุยวันต่อไปได้เลย
[topic2]วันที่ 2[/topic2]
[caption id="attachment_29159" align="aligncenter" width="750"] Photo by sodai gomi from flickr.com/photos/sodaigomi/28970937875/ [CC by 2.0][/caption]ช่วงเช้า : เดินชมตลาดเช้า Hakodate Morning Market เพื่อทานอาหารทะเลสดใหม่ เมนูแนะนำของตลาดแห่งนี้ คือ อูนิอิคุระดงบุริ หรือข้าวหน้าหอยเม่นทะเลและไข่ปลาแซลมอน หรือจะลองไปตกหมึกแบบสด ๆ แล้วประกอบอาหารตรงนั้นเลยก็ได้ ตลาดอยู่ไม่ไกลจาก สถานี Hakodate มากนัก เพียงแค่เดินไปทางขวา แล้วข้ามถนนไปก็ถึงแล้ว จากนั้นก็เช็คเอ้าท์ออกจากที่พัก เดินทางต่อไปซัปโปโร โดยการนั่งรถไฟ JR ไปลงที่สถานีซัปโปโร ใช้เวลาประมาณ 3.5 ชั่วโมง (ควรจะถึงประมาณ 12.00 – 13.00 น. จะดีที่สุด) เมื่อไปถึงแล้วให้ฝากกระเป๋าไว้ที่สถานีรถไฟ Sapporo กันก่อน
[caption id="attachment_29224" align="aligncenter" width="750"] Photo by MIKI Yoshihito from flickr.com/photos/mujitra/8346369496 [CC by 2.0][/caption]ช่วงบ่าย : เดินทางไปเที่ยวเมืองออนเซนที่ โจซังเคออนเซ็น ที่ได้ชื่อว่าเป็น “ห้องนั่งเล่นแห่งซัปโปโร” เนื่องจากมีทิวทัศน์เบื้องหลังที่สวยงาม ด้วยการนั่งรถบัสหมายเลข 7 หรือหมายเลข 8 จากสถานี Sapporo Station Bus Terminal มาลงที่ Jozankei Onsen ใช้เวลาประมาณ 1.15 ชั่วโมง
[caption id="attachment_31481" align="aligncenter" width="750"] photos by Wing1990hk from commons.wikimedia.org/wiki/File:Tanuki_Koji_Shopping_Arcade_Shops_201406.jpg(cc by 3.0)[/caption]
ช่วงเย็น : เมื่อเดินเล่นหรือแช่ตัวจนสบายตัวแล้ว ก็กลับมาพักผ่อนที่ซัปโปโรโดยการนั่งรถประจำทางกลับมาเช่นเดิม แล้วไปช้อปปิ้งที่ ย่านทานูคิโคจิ ด้วยการนั่งรถไฟใต้ดินสาย Namboku มาลงที่สถานี Susukino เดินออกไปทางออก 1 จนกว่าจะเจอซุ้มประตูรูปนกเพนกวิน เมื่อเดินจนเหนื่อยแล้ว ก็มาทานราเม็งที่ ซูซูกิโนะ ที่อยู่ไม่ไกลจากทานูคิโคจิมากนัก อิ่มแล้วก็ค้างคืนที่ซัปโปโร 1 คืน
[wp_ad_camp_1]
[topic2]วันที่ 3[/topic2]
[caption id="attachment_31492" align="aligncenter" width="750"] photos by 663highland from commons.wikimedia.org/wiki/File:Marchen_Crossing_Otaru03s5.jpg(cc by 3.0)[/caption]
[caption id="attachment_29123" align="aligncenter" width="750"] Photo by Janne Moren from flickr.com/photos/jannem/4285832199/ [CC by-sa 2.0][/caption]ช่วงเช้า-บ่าย : เดินทางไปท่องเที่ยวที่เมืองโอตารุ อดีตเมืองท่าเล็ก ๆ ที่ยังคงเสน่ห์ความเป็นญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม ด้วยการนั่งรถไฟ JR จากสถานีซัปโปโร มาลงที่สถานีโอตารุเลย (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง) ชมวิวริมคลองโอตารุ ที่เต็มไปด้วยพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ และร้านอาหารญี่ปุ่น ท่ามกลางบรรยากาศสุดโรแมนติก น่าจะเดินเที่ยวเล่นได้ตั้งแต่สายๆไปจนถึงบ่ายคล้อย ก็จะเริ่มมีถนนช้อปปิ้งเล็ก ๆ ที่ชื่อซาไกมาจิ เหมาะสำหรับการเดินหาอาหารทะเลสดใหม่ หรือจะเลือกซื้อเครื่องแก้วที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองน่ารักแห่งนี้กลับไปเป็นของฝากก็เป็นความคิดที่ดี
ช่วงเย็น : เดินทางกลับมาที่ซัปโปโร ค้าง 1 คืน ถ้ายังมีเวลาว่างพอก็แนะนำให้มาเดินเล่นที่ ย่านสถานีรถไฟ JR Sapporo เพื่อซื้อของเล็กน้อยจากห้างสรรพสินค้าชื่อดังในย่านนี้
[topic2]วันที่ 4[/topic2]
วันนี้มี Option ให้เลือกคือ ถ้าไปช่วงที่มีดอกไม้บานเต็มที่ก็แนะนำให้ไปที่เมือง Furano – Biei แต่ถ้าไม่ใช่ แนะนำไปที่ เมือง Noboribetsu
เที่ยวช่วงดอกไม้บาน เที่ยว Furano-Biei:
[caption id="attachment_28982" align="aligncenter" width="750"] Photo by Yoshiki from flickr.com/photos/e29616/1028397369/ [CC by 2.0][/caption]ช่วงเช้า : เดินทางไปที่เมืองฟูราโน่ เพื่อชมทุ่งดอกไม้ ด้วยการนั่งรถไฟไปลงที่สถานี Kimifurano แล้วเดินต่อขึ้นไปบนเนินเขา หากไม่สะดวกจริง ๆ สามารถนั่งแท็กซี่ต่อขึ้นไปได้ ใช้เวลาประมาณ 5 นาที ก็จะเจอทุ่งดอกไม้ที่มีความสวยงามสุดลูกหูลูกตา มีฉากหลังเป็นเทือกเขาโทชิ จะเดินเล่น หรือจะนั่งรถแทร็กเตอร์ไปตามทุ่งเพื่อชื่นชมความงามก็แล้วแต่ความชื่นชอบ
[caption id="attachment_28971" align="aligncenter" width="750"] Photo by Tetsuji Sakakibara from flickr.com/photos/tetsuji0105/22038116161/ [CC by-sa 2.0][/caption]ช่วงบ่าย : เดินทางต่อไปที่สระอะโออิเคะ หรือสระน้ำสีฟ้า ด้วยการนั่งรถไฟจากสถานี Kimifurano ไปยังสถานี Biei แล้วโดยสารรถบัสไปลง Shirogane Aoiike Iriguchi ก็จะพบสระน้ำสีฟ้าสว่างสดใสที่เกิดจากแร่ธาตุบางชนิดจากภูเขาไฟ (โปรแกรมนี้สามารถตัดออกได้ หากรู้สึกว่าเหนื่อยหรือเพลียมากแล้ว) เมื่อเที่ยวครบ ก็เดินทางกลับมาซัปโปโร ค้างอีก 1 คืน
เที่ยวช่วงอื่นๆ เที่ยวเมืองออนเซน Noboribetsu:
[caption id="attachment_29149" align="aligncenter" width="750"] Source: Noboribetsu Onsen Dai-ichi Takimotokan from agoda.com/th-th/noboribetsu-onsen-dai-ichi-takimotokan/hotel/noboribetsu-jp.html[/caption]
ช่วงเช้า – บ่าย : เดินทางไปเที่ยวชมย่านบ่อน้ำร้อนโนโบริเบทสึ ที่ว่ากันว่าเป็นบ่อน้ำร้อนที่มีชื่อเสียงที่สุดในฮอกไกโด เนื่องจากมีบ่อน้ำร้อนที่มีแร่ธาตุต่างกันถึง 11 ชนิด โดยการนั่งรถไฟ JR มาลงที่สถานี Noboribetsu แล้วต่อด้วยรถบัสประจำทางมาลงที่ Noboribetsu Onsen จะลงแช่ออนเซ็นสักพัก หรือจะเดินถ่ายรูปเล่นอย่างเดียวก็ได้ตามความต้องการ จากนั้นให้เดินต่อไปทางทิศเหนือ ก็จะเจอหุบเขานรกจิโงคุดานิ หุบเขาสุดงมงามตามธรรมชาติ ที่เป็นแหล่งต้นน้ำของบ่อนำร้อนโนโบริเบทสึ บริเวณหุบเขาแห่งนี้ เคยถูกใช้เป็นฉากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง “แฟนเดย์ แฟนกันแค่วันเดียว” อีกด้วย
ช่วงเย็น-ค่ำ : ให้เลือกกลับไปย่านที่เราชอบของซัปโปโรอีกทีได้ เช่น ย่าน Susukino, Odori, Tanuki, หรือ สถานี Sapporo เพราะเชื่อว่าน่าจะยังเดินกันไม่ครบ
[topic2]วันที่ 5[/topic2]
ช่วงเช้า + ช่วงบ่าย : ปิดท้ายก่อนที่จะกลับประเทศไทย ด้วยการท่องเที่ยวในซัปโปโรให้ทั่ว โดยที่คุณสามารถเลือกเองได้ว่าจะไปที่ไหนบ้าง ซึ่งเราก็ได้ลิสต์ที่เด็ด ๆ มาไว้ดังต่อไปนี้
[caption id="attachment_29043" align="aligncenter" width="750"] Photo by Lionel Leong from flickr.com/photos/lionel-arts/26380528716/ [CC by-sa 2.0][/caption]ไปทัวร์โรงงานช็อคโกแล็ต (Shiroi Koibito) ใครที่ชอบของหวาน โดยเฉพาะคุกกี้เนยไส้ไวท์ช็อคโกแลตที่เป็นของขึ้นชื่อฮอกไกโด ก็อยากแนะนำให้ลองมาทัวร์โรงงานช็อคโกแลตชิโอริ โคอิบิโตะดูสักครั้ง เพราะคุณจะได้เห็นวิธีการทำคุกกี้สุดอร่อยทุกขั้นตอน และยังได้ซื้อขนมหวานชนิดอื่น ๆ ในราคาพิเศษกลับไปลองทานอีกด้วย การเดินทางเริ่มต้นจากสถานี Odori แล้วต่อด้วยรถไฟฟ้าใต้ดินสาย Tozai ไปลงที่สถานี Miyanosawa แล้วเดินไปอีก 10 นาทีก็จะถึงโรงงานช็อคโกแลตแห่งนี้
[caption id="attachment_34483" align="aligncenter" width="750"] Photo by 利用者:Haseyu- from commons.wikimedia.org/wiki/File:View_of_Sapporo_TV_Tower_from_Odori_Park(2011).JPG [CC by 0.0][/caption]แวะเที่ยวที่ Sapporo TV Tower หอส่งสัญญาณโทรทัศน์ของเมืองซัปโปโร ที่มีความสูง 142.7 เมตร เพื่อชมวิวเมืองซัปโปโรในระดับความสูง 90 เมตร และถ้าโชคดีไปเจอช่วงที่มีการจัดเทศกาลอยู่พอดี ก็จะพบความคึกคักจากนักท่องเที่ยวและขบวนแห่ของงาน รวมทั้งเดินเล่นที่สวนสาธารณะด้านล่างของหอคอยนี้ด้วยเลย สามารถเดินทางได้ โดยนั่งรถไปมาลงที่สถานี Odori ทางออกหมายเลข 27 ใช้เวลาเดินต่อ 5 นาที
[caption id="attachment_29038" align="aligncenter" width="750"] Photo by Toby Oxborrow from flickr.com/photos/oxborrow/52132266/ [CC by-sa 2.0][/caption]ชม Sapporo Beer Museum พิพิธภัณฑ์เบียร์ที่โด่งดังที่สุดในญี่ปุ่น (และเบียร์ก็ขายดีที่สุดในญี่ปุ่นด้วย) ภายในมีประวัติความเป็นมาของเบียร์ยี่ห้อนี้ ขั้นตอนการผลิตเบียร์ และพิเศษสุดคือแจกเบียร์ให้ชิมฟรี ใครที่ชอบแนวนี้ สามารถเดินทางด้วยการนั่งรถไฟมาลงที่สถานี Odori แล้วต่อรถบัส Loop 88 Factory ก็จะถึงพิพิธภัณฑ์เลย
[caption id="attachment_29033" align="aligncenter" width="750"] Photo by redlegsfan21 from flickr.com/photos/redlegsfan21/16735871442/ [CC by-sa 2.0][/caption]ช่วงเย็น : นั่งกระเช้า ขึ้น เขาโมอิวะ(Moiwa) ที่เป็นภูเขาชื่อดังของเมืองซัปโปโรชมวิวเมืองกันซะหน่อย แนะนำให้ไปถึงยอดเขาก่อนจะมืดสนิทจะสวยงามที่สุด
เมื่อเที่ยวจนครบ ก็ค้างที่ซัปโปโร อีก 1 คืน ก่อนที่จะเตรียมตัวเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้
[topic2]วันที่ 6[/topic2]
หากเดินทางกลับในเที่ยวบินรอบบ่าย ก็ขอแนะนำให้แวะไปเดินเล่นฆ่าเวลาที่ Rera Outlet Mall เอาท์เล็ทที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น โดยการนั่ง Shuttle Bus จากสนามบินไป ใช้เวลาในการเดินทางเพียง 10 นาทีเท่านั้น ก่อนที่จะเดินทางกลับประเทศไทยอย่างสวัสดิภาพ
[link1 src="https://www.talonjapan.com/trip-hokkaido-7days-6nights/"]แพลนเที่ยวฮอกไกโดแบบเต็มอิ่ม 7 วัน 6 คืน
การเดินทางและตั๋วพาสต่างๆของฮอกไกโด
จากเมืองไทยไปเที่ยวฮอกไกโดมีทั้งเที่ยวบินตรงและแบบต่อเครื่องให้บริการอยู่หลายเจ้า ทั้งแบบ Full Service และแบบ Lowcost ราคาแตกต่างหลากหลายกันไปตั้งแต่ 1-3 หมื่นบาท โดยมักจะไปลงที่สนามบินนิวจิโตเสะ(New Chitose Airport)ที่อยู่ติดกับเมืองซัปโปโร ห่างกันประมาณ 50 กิโลเมตร มีรถไฟด่วนเชื่อมต่อระหว่างสนามบินกับเมืองซัปโปโร รวมถึงเมืองใหญ่ใกล้เคียงอื่นๆด้วย
ส่วนวิธีการเดินทางต่างๆภายในเกาะฮอกไกโดก็มีให้บริการมากพอๆกับเมืองอื่นๆของญี่ปุ่นแต่จะไม่ครอบคลุมพื้นที่เท่า และเพื่อความสะดวกสบายในการเดินทางสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวฮอกไกโดและเมืองซัปโปโร ทางญี่ปุ่นได้มีการออกตั๋ว พาส ท่องเที่ยวและการเดินทางต่างๆ ให้นักท่องเที่ยวได้ใช้กันโดยเฉพาะ โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับตั๋วและพาสต่างๆดังนี้
JR Hokkaido Rail Pass สามารถโดยสารรถไฟ JR (รวม limited express trains) และรถบัส JR ในภูมิภาคฮอกไกโดได้โดยไม่จำกัดครั้ง ตั๋วจำหน่ายแบบใช้งานติดต่อกัน 3 วัน 5 วัน 7 วัน และแบบยืดหยุ่น 4 วัน(ที่สามารถใช้วันไหนก็ได้ภายในระยะเวลา 10 วัน) เหมาะมากกับผู้ที่วางแผนเดินทางท่องเที่ยวเมืองต่างๆในฮอกไกโด นอกจากภายในเมืองซัปโปโร
- ตั๋ว 3 วัน แบบต่อเนื่อง ผู้ใหญ่ราคา 16,500 เยน เด็กราคา 8,250 เยน
- ตั๋ว 5 วัน แบบต่อเนื่อง ผู้ใหญ่ราคา 22,000 เยน เด็กราคา 11,000 เยน
- ตั๋ว 7 วัน แบบต่อเนื่อง ผู้ใหญ่ราคา 24,000 เยน เด็กราคา 12,000 เยน
- ตั๋ว 4 วัน แบบไม่ต่อเนื่อง (ใช้วันไหนก็ได้ภายในระยะเวลา 10 วัน) ผู้ใหญ่ราคา 22,000 เยน เด็กราคา 11,000 เยน
บัตรที่ใช้เดินทางได้ทั่วทั้งภูมิภาคคันโตตั้งแต่โตเกียวไปจนถึงเกาะฮอกไกโดตอนใต้ สามารถใช้นั่งรถไฟสาย JR Hokkaido Lines และ JR East Lines ได้ทั้งหมด นอกจากนี้ยังสามารถรถไฟได้ตั้งแต่สนามบินนาริตะ (Narita Airport), สนามบินฮาเนดะ Haneda Airport และสนามบินนิวชิโตเสะ (New Chitose Airport) ได้ด้วย ครอบคลุมเมืองสำคัญหลายแหล่ง เช่น Tokyo, Sapporo, Aomori, Sendai และเมืองอื่นๆ ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเส้นทางใหม่เพราะจะมีการเปิดใช้งานรถไฟชิงคันเซนเพื่อข้ามไปยังฮอกไกโด พาสนี้จึงเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางในภูมิภาคคันโต(ทั่วกรุงโตเกียว) และนั่งข้ามเกาะไปยังฮอกไกโด
JR East-South Hokkaido Rail Pass มีให้เลือกแบบเดียว เป็นแบบยืดหยุ่น สามารถเลือกเดินทางได้ 6 วัน ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน(เลือกใช้ได้ 6 วัน จาก 14 วัน) ผู้ใหญ่ ราคา 26,000 เยน / เด็ก 13,000 เยน
JR Tohoku-South Hokkaido Rail Pass เป็นพาสใหม่ล่าสุด ที่ใช้เดินทางจากได้จากตอนใต้ของเกาะฮอกไกโด กับภูมิภาค Tohoku ที่มีเมืองดังเช่น เซนได
JR Tohoku-South Hokkaido Rail Pass เป็นพาสใหม่ล่าสุด มีให้เลือกแบบเดียว เป็นแบบยืดหยุ่น สามารถเลือกเดินทางได้ 6 วัน ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน(เลือกใช้ได้ 6 วัน จาก 14 วัน) ผู้ใหญ่ ราคา 19,000 เยน / เด็ก 9,500 เยน
ที่นิยมกันจะมีอยู่ 3 แบบหลักๆดังนี้
ตั๋วแบบใช้ครั้งเดียว ตั๋วชนิดนี้จะใช้สำหรับการเดินทางเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งหากต้องการเดินทางต่อก็จะต้องซื้อตั๋วใหม่นั่นเอง ทั้งยังมีการกำหนดปลายทางที่แน่นอน กล่าวคือจองตั๋วไปลงที่ไหน ก็จะต้องลงที่สถานีนั้น โดยจะมีราคาเริ่มต้นที่ 200 เยน
ตั๋วแบบเหมา 1 วัน ตั๋วชนิดนี้จะใช้สำหรับการเดินทางใน 1 วัน อย่างไม่จำกัด กล่าวคือแค่ซื้อตั๋วเพียงครั้งเดียวก็สามารถเดินทางไปได้ทุกที่ตามเส้นทางที่รถไฟวิ่งผ่าน โดยมีตั๋วทั้งหมด 3 ประเภทดังนี้
ประเภทที่ 1 = Subway 1-Day Card ใช้ได้กับรถไฟใต้ดินของซัปโปโรทั้ง 3 สาย ในราคา 830 เยน และใช้ได้เฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์เท่านั้น
ประเภทที่ 2 = Donichika Ticket ใช้ได้กับรถไฟใต้ดินของซัปโปโรทั้ง 3 สาย ในราคา 520 เยน โดยจะใช้ได้เฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์ วันหยุดราชการและวันที่ 29 ธันวาคม – 3 มกราคม
ประเภทที่ 3 = Sapporo-Otaru Welcome Pass ใช้ได้กับการเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินทั้ง 3 สาย และรถไฟ JR ระหว่าง Sapporo กับ Otaru ในราคา 1,700 เยน
มีการใช้งานโดยเติมเงินเข้าไปในบัตร จากนั้นก็นำไปใช้โดยสารรถไฟหรือรถบัสได้จนกว่าเงินในบัตรจะหมด ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งรูปแบบที่จะเพิ่มความสะดวกในการใช้งานได้ดีทีเดียว โดยบัตรเติมเงินเพื่อท่องเที่ยวและเดินทางในซัปโปโรประเภทนี้ ก็แบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ
ประเภทที่ 1 = Kitaca มีราคาเริ่มต้นที่ 2,000 เยน โดยจะใช้ในการโดยสารรถไฟ JR รถรางซัปโปโร รถไฟใต้ดินซัปโปโรและรถบัสซัปโปโร แถมยังสามารถนำไปใช้ในเมืองใหญ่ๆ ของญี่ปุ่นได้อีกด้วย
ประเภทที่ 2 = Sapica เป็นบัตรโดยสารแบบเติมเงินที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มีราคาเริ่มต้นที่ 2,000 เยน โดยจะใช้โดยสารรถไฟใต้ดิน รถรางและรถบัส JR Hokkaido Bus, Jotetsu และ Hokkaido Chuo Bus แถมยังมีการสะสมคะแนน 10% ของการใช้งานแต่ละครั้ง เพื่อนำไปใช้เป็นค่าเดินทางในครั้งต่อไปได้อีกด้วย