รีวิว 8 วัน เช่ารถขับเที่ยวฮอกไกโด เจาะลึก Central Hokkaido ซัปโปโร ไปที่คนอื่นๆเขาไม่ค่อยไปกัน Road Trip
การขับรถเที่ยวฮอกไกโดในฤดูใบไม้ร่วงเป็นประสบการณ์ที่ไม่ควรพลาดสำหรับคนรักธรรมชาติและการผจญภัย ในช่วงนี้ฮอกไกโดจะเต็มไปด้วยสีสันที่สวยงามของใบไม้เปลี่ยนสี ไม่ว่าจะเป็นสีแดง เหลือง หรือส้มที่แต่งแต้มทั่วทั้งภูมิภาค เส้นทางที่คดเคี้ยวผ่านภูเขา ทุ่งดอกไม้ และทะเลสาบในฮอกไกโดจะทำให้คุณได้สัมผัสความงดงามที่เปลี่ยนไปในทุกโค้งถนน ตั้งแต่ฟุราโนะที่มีทุ่งกว้างใหญ่ไปจนถึงบรรยากาศเงียบสงบของทะเลสาบโทยะ
การเดินทางของเราเริ่มต้นที่สนามบิน New Chitose มุ่งหน้าไปยัง Furano และ Asahikawa เพื่อชมทุ่งดอกไม้และธรรมชาติที่เปลี่ยนสีสันสวยงาม จากนั้นเดินทางต่อไปยัง Otaru เมืองท่าที่มีบรรยากาศย้อนยุค คลาสสิก และ Niseko ที่ล้อมรอบด้วยภูเขาและธรรมชาติอันงดงาม ทริปนี้ยังพาคุณไปสัมผัสความเงียบสงบของทะเลสาบ Toya และแช่น้ำพุร้อนที่ Noboribetsu และ Jozankei ก่อนจบการเดินทางที่ Sapporo เมืองหลวงของฮอกไกโด ที่สวนสาธารณะที่สวยงามมากมาย เส้นทางนี้ครอบคลุมจุดท่องเที่ยวสำคัญที่หลากหลายบริเวณตอนกลางของเกาะฮอกไกโด ตามเราไปกันเลย
วันแรก: รับรถที่ สนามบิน New Chitose แลเที่ยวเมือง Furano
หลังจากที่เราไปถึงสนามบินนิวจิโตเสะตอนเช้า เราก็ออกมาหาอะไรทานที่สนามบินก่อน เพราะว่าสนามบินนี้มีอะไรน่าสนใจหลายอย่าง เช่น โซนที่รวม Ramen ชื่อดัง จากทั่ว เกาะฮอกไกโด, โซนที่มีโชว์การทำช็อกโกแลตยี่ห้อ Royce, โซนโดราเอมอนที่มีร้านขายของที่ระลึก, ร้านคาเฟ่และที่เล่นเด็ก ซึ่งจะเปิดตอนประมาณ 10 โมงเช้า
หลังจากที่เราเดินเล่นแถวนี้เสร็จเราก็เดินไปโซนเคาน์เตอร์เช่ารถ ซึ่งอยู่บริเวณชั้น 1 ซึ่งตอนที่เรามาถึงเคาน์เตอร์เช่ารถนั้นไม่มีเคาน์เตอร์ไหนที่มีพนักงานอยู่เลย มีเพียงแค่โทรศัพท์ให้เราโทรออก ของแต่ละเคาน์เตอร์เท่านั้น เราก็โทรไปเพื่อแจ้งว่าเราต้องการรับรถ แล้วก็รอประมาณ 15 นาที ก็มีรถบัสของบริษัทเช่ารถ Nippon Rent a car ที่เราจองไว้เข้ามาถามชื่อแล้วก็ช่วยยกกระเป๋าขึ้นรถบัสและพาเราไปยังจุดรับรถ ซึ่งอยู่ข้างๆสนามบิน ซึ่งใช้เวลาเดินทางอีกประมาณ 10 นาที พอไปถึงที่ออฟฟิศเช่ารถเราก็รอ เรียกตามคิว มีทำเรื่องเอกสารจ่ายเงินอะไรเรียบร้อยแล้ว ก็มีพนักงานพาเราเดินไปที่รถพร้อมกับอธิบายวิธีการใช้งานบนรถเบื้องต้น ตอนนี้ก็จะมีการเช็คสภาพรถไปพร้อมกันเลย รวมระยะเวลาทั้งหมดน่าจะประมาณ 1 ชั่วโมงเราก็ได้รถมาจนพร้อมที่จะออกเดินทางแล้ว
จุดหมายปลายทางแรกของเราก็คือเมือง Furano เมื่อได้รถเรียบร้อยแล้ว เราก็เสียบสาย USB กับโทรศัพท์มือถือเพื่อเชื่อมต่อ Google CarPlay จากนั้นไปที่ Google Map แล้วตั้งค่าไปที่แรกกันได้เลย ทั้งทริปนี้ที่เราไปมาตาม Google ได้เลยทุกเส้นทางไม่มีหลงเลย โดยที่เราก็ขึ้นทางด่วนและเข้าช่อง ETC สีม่วง ซึ่งทำงานเหมือนกับ EasyPass ของเมืองไทย ขับผ่านด่านเก็บเงินไปได้เลยง่ายๆ ใช้เวลาเดินทางโดยรวมทั้งหมดประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ก็เริ่มเข้าสู่เมือง furano โดยเราแวะที่แรกคือ ฟาร์ม Yamazaki Farm ซึ่งมีเมล่อนแบบหั่นเป็นซีกขายราคา 800 เยนต่อซีก รสชาติหอมหวานสุดๆและยังมีโซนให้นั่งเล่นกินเมล่อนกลางทุ่งดอกไม้อีกด้วย สวยงามและบรรยากาศดีมาก
จากนั้นเราก็ไปต่อที่ฟูราโน่ชีสแฟคทอรี่ภายในมีการทำชีสและมี workshop ด้วยแต่เราไม่ได้ทำเราแค่ไปแวะกินพิซซ่าแล้วก็ไอศครีม พิซซ่าอร่อยมากไอศครีมก็หอม หวาน มัน ภายในบรรยากาศเหมือนอยู่ในป่าร่มรื่นสุดๆ
จากนั้นเราก็ไปต่อกันที่นิงเกิ้ล เป็นที่ขายของ ออกแบบตกแต่งได้สวยงามมาก เป็นกระท่อมไม้หลังเล็กๆ เหมือนอยู่ในดินแดนนิทานกลางป่าสน สินค้าที่ขายที่นี่ก็จะเป็นพวกเกี่ยวกับงานคราฟ DIY งานศิลปะ
จากนั้นเราจึงเข้าที่พัก โดยที่พักของเราชื่อว่า Hotel Munin Furano เป็นที่พักเปิดใหม่ จะอยู่บริเวณรอบนอกของเมือง แต่ก็มีร้านสะดวกซื้อและร้านอาหารบ้างอยู่ใกล้ๆ ที่พักเรียบง่ายทั่วไปแต่ก็ใหม่จริงๆ
วันที่ 2: Farm Tomita, Biei Blue Pond
เช้าวันต่อมาเราไปเที่ยวที่ Farm Tomita ฟาร์มชื่อดังของเมืองฟุราโน่ ที่มีหลายอย่างให้เลือกชม มีทั้งทุ่งดอกไม้ โดยเฉพาะทุ่งดอกลาเวนเดอร์ ที่มีสินค้าหลาลายอย่างจากดอกลาเวนเดอร์ เช่น น้ำหอม สบู่ และอื่นๆ, มีโซนขายสินค้าเกี่ยวกับเมล่อน ทั้งเมล่อนสด, Softserve และเบเกอรี่อีกหลายอย่าง
จากนั้นเราก็ขับผ่านไปทาง ถนน Roller coaster road ที่มีถนนขึ้นลงเนินเขาเหมือนกับรถไฟเหาะ ซึ่งบรรยากาศถนนบริเวณแถบนี้เป็นเหมือนทุ่งนาทุ่งดอกไม้กันหมดเลย ค่อนข้างเงียบสงบและสวยงามมาก
ตกบ่ายเราไปเที่ยว Biei Blue Pond (Shirogane Aoiike) ทะเลสาบสีน้ำเงินอันโด่งดังของเกาะฮอกไกโด ขับตามแผนที่ใน Google ไปได้เลยที่จอดรถที่นี่จะเป็นแบบกดปุ่มรับบัตร Ticket ก่อนเมื่อจ่อเสร็จแล้วก็ไปเที่ยวเพราะเที่ยวเสร็จก็จะมีตู้จ่ายเงินอัตโนมัติค่าจอดคิดเหมาครั้งละ 500 เยน และใกล้ๆกันจะมี น้ำตก Shirahige Waterfall ซึ่งเป็นเมืองออนเซ็นด้วยบรรยากาศตรงนี้ก็ดีมาก มีที่จอดรถฟรี
จากนั้นเราก็เข้าที่พักในเมือง Asahikawa พักที่โรงแรม HOTEL AMANEK Asahikawa เป็นที่พักทำเลดีอยู่ตรงข้ามกับสถานีรถไฟ Asahikawa เลย รอบข้างมีร้านค้าร้านอาหารเพียบ มีที่จอดรถอยู่ข้างๆโรงแรมด้วย
วันที่ 3: Asahidake Ropeway, Asahiyama Zoo, Ramen Village
วันนี้เราตื่นแต่เช้าออกเดินทางไปยังยอดเขาที่สูงที่สุดของเกาะฮอกไกโด ยอดเขา Asahidake ที่ Daisetsuzan National Park ซึ่งจะมีบริการ Asahidake Ropeway อยู่ด้วย ใช้เวลาขับรถจากตัวเมือง ประมาณ 1 ชั่วโมง ไปถึงก็จอดรถฟรีได้ที่ visitor Center จากนั้นเราก็เดินไปที่ อาคาร Ropeway ข้างๆ ตั๋วแบบ ไป – กลับ สำหรับผู้ใหญ่ราคา 3,200 เยน
เมื่อขึ้นไปที่ด้านบนแล้ว จะมีเส้นทางสำหรับเดินเขาอยู่หลายเส้นทาง ใครมีเวลาก็สามารถเดินขึ้นไปจนถึงยอดเขาที่สูงที่สุดของฮอกไกโดได้ ที่ความสูง 2,291 เมตร ใช้เวลาเดินไปกลับน่าจะประมาณ 3-4 ชั่วโมง และถ้าต้องการก็ยังสามารถเดินข้ามไปลงอีกฝั่งได้เลย Kurodake ซึ่งจะมี Ropeway อยู่ด้วยเช่นกันโดยใช้เวลาเดินประมาณ 8-9 ชั่วโมง แต่สำหรับเรามีเวลาไม่มาก ก็สามารถเดินดูปากปล่องภูเขาไฟที่ยังมีไอร้อนพุ่งอยู่ตลอดเวลาแบบใกล้ชิดได้ ซึ่งเส้นทางนี้จะเป็นวงกลมและค่อนข้างจะราบ ใช้เวลาเดินประมาณ 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น ทางเดินเป็นหินและดิน แต่ก็ค่อนข้างจะดี มีเส้นทาง ป้ายบอกทาง และที่กั้นชัดเจน บรรยากาศก็สวยงามแปลกตา
จากนั้นเราก็ เราก็ขับรถไปเที่ยวสวนสัตว์ที่น่าจะมีชื่อเสียงที่สุดของเกาะฮอกไกโดนั่นก็คือ Asahiyama Zoo ข้างในสวนสัตว์ก็กว้างพอประมาณ ภายในมีกิจกรรมให้ดู เช่น การให้อาหารเพนกวิน และการให้อาหารโพล่าแบรนด์ในน้ำ นอกจากนี้ก็ยังมี สัตว์หลายอย่างที่น่าสนใจ เช่น แพนด้าแดงหมีขาวโพล่าแบร์ และอื่นๆอีกหลายชนิด ไปจนถึงอควาเรียมด้วย แต่เราไม่ได้ดูไฮไลท์ซึ่งจะมีเฉพาะหน้าหนาวเท่านั้นนั่นก็คือการเดินขบวนพาเหรดเพนกวินบนพื้นหิมะ
ตกเย็นแล้วแวะกินข้าวที่ Ramen Village มีร้านราเมงชื่อดังของเมืองอาซาชิคาวามารวมกันอยู่หลายร้านเพราะกินเสร็จเราก็แวะที่ Uniqlo ต่อจากนั้นก็เข้าโรงแรมจบวันที่ 3
วันที่ 4: สวน Moerenuma Park Sapporo และ สวน Hokkaido Kodomo no Kuni
วันนี้เราออกไปทานอาหารเช้ากันที่ Starbucks ในเมือง Asahikawa ตั้งอยู่ริมแม่น้ำที่ด้านหลังมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ด้วย นั่งดื่มกาแฟไปชมวิวไปพร้อมกันได้เลยบรรยากาศดีมาก
จากนั้นเราก็ขับรถไปทางเมืองโอตารุ ระหว่างทางเราจอดแวะที่ สวน Hokkaido Kodomo no Kuni ซึ่งเป็นสวนสาธารณะสำหรับเด็กขนาดใหญ่ ที่ทำออกมาได้ดีมากๆ ภายในมีอยู่หลายโซนที่นอกเหนือจากที่เล่นเด็ก เช่น อาคารทำกิจกรรมต่างๆ และจุดขายของฝากร้านค้าร้านอาหาร บ่อปลา สวนสวย เราแวะเดินเล่นและซื้อของขนมรวมทั้งกินข้าวเที่ยงที่นี่เลย
จากนั้นเราเดินทางต่อไปที่สวน Moerenuma Park ที่เมือง Sapporo ซึ่งถูกออกแบบโดยนักประติมากรชื่อดังของญี่ปุ่นเป็นการเปลี่ยนเอา ที่ทิ้งขยะเดิมมาทำเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่โดย Concept ก็คือ เป็นการรวมเอางานศิลปะกับธรรมชาติมาเข้าไว้ด้วยกันซึ่งก็ทำออกมาได้ดีมากๆ ไฮไลท์ของที่นี่ก็คือ พีระมิดกระจกขนาดใหญ่, ภูเขา จำลองสูงถึง 62 เมตร, การแสดงน้ำพุ และประติมากรรมพีระมิดเล็กไปจนถึงสนามเด็กเล่นขนาดใหญ่ด้วย
เราใช้เวลาเดินเล่นอยู่ที่นี่ประมาณ 2-3 ชั่วโมงจนพระอาทิตย์ตกแล้วเราก็ออกเดินทางต่อไปที่ เมือง Otaru ทำให้กว่าจะไปถึงก็ดึกแล้ว พอเช็คอินเข้าโรงแรมเสร็จเราก็ไปหาอะไรทาน ซึ่งเมนูชื่อดังของเมืองโอตารุก็คือซูชินั่นเอง เพราะว่าเป็นเมืองท่าสำคัญของเกาะฮอกไกโด โดยในเมือง Otaru จะมีโซนที่ชื่อว่า Sushi Street ซึ่งรวมร้านซูชิเข้าไว้ด้วยกันหลายร้าน ซูชิอร่อยราคาทั่วไป
ที่พักในคืนนี้ของเราชื่อว่า Authent Hotel Otaru เป็นที่พักสไตล์ยุโรปแบบเก่าของญี่ปุ่น แต่ทำเลค่อนข้างดี ติดกับถนนคนเดิน ไม่ไกลจาก Otaru Canal และก็มีที่จอดรถฟรีด้วย
วันที่ 5: สวนผลไม้, Niseko, Yotei
วันต่อมาเราตื่นแต่เช้าออกเดินทางกันต่อ จุดหมายแรกคือแวะที่ฟาร์ม Fruits Park Niki ซื้อผลไม้สดๆแต่ว่าช่วงที่เราไปเป็นฤดูใบไม้ร่วง มีแอปเปิ้ล สาลี่ แล้วก็ลูกพรุนให้ขายซึ่งมีไม่มากนัก แต่รสชาติหอมหวานอร่อยมาก จากนั้นที่ฟาร์มมีก็จะมีสไลด์อยู่บนเขาให้เราเล่นด้วย แค่เช่าแผ่นรองโฟมแล้วเดินขึ้นเขาไปก็เล่นได้เลยกี่รอบก็ได้
เสร็จแล้วเราขับรถออกมาต่อที่จุดแวะพักรถ ทานอาหารกินขนมซื้อของฝาก ร้านอาหารอร่อยราคาไม่แพงมาก มีสินค้าท้องถิ่นขายมากมาย ข้าวโพดต้มหวานมากห้ามพลาด จากนั้นเราขับเข้าสู่เส้นทาง Niseko Panorama Line แล้วไปแวะเดินชมวิวที่ Shinsen-numa Marsh ซึ่งจะเป็นทางเดินเข้าไปที่หนองน้ำ และทุ่งหญ้า ใช้เวลาเดิน 1 รอบประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ บรรยากาศดี วิวสวย ที่จอดรถมีร้านค้าและคาเฟ่ให้บริการด้วย
จากนั้นเราก็เข้าที่พักที่เมือง Niseko แวะ Lawson สาขาที่มองเห็น วิวภูเขาโยเต(Yotei) ซึ่งมีลักษณะคล้ายภูเขาไฟฟูจิ แล้วก็แวะทานมื้อค่ำกันที่ร้านราเมง Afuri ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เมนูห้ามพลาดก็คือ เมนู ทสึเคมเน(Tsukemen) ซึ่งมีรสชาติเฉพาะของฮอกไกโดโดยน้ำซุปจะใสๆหน่อย ร้านนี้ทำออกมาได้รสชาติดีมาก จนอยากสั่งอีกชามแต่กินไม่ไหว ตั้งอยู่ภายในโรงแรม Setsu Niseko
ที่พักของเราในคืนนี้ชื่อว่า Always Niseko ที่พักเปิดใหม่ สะอาด สไตล์เรียบๆแบบ minimal มีที่จอดรถฟรี และอาหารเช้าแบบเบสิกๆ
วันที่ 6: Toyako Onsen และ Mount Usu
วันต่อมาเราจะขับรถไปที่ทะเลสาบ Toyako และแวะค้างคืนกันที่ Toyoko onsen ระหว่างทางจะมีแวะจุดถ่ายรูปภูเขาโยเต(ํYotei)ที่ศาลเจ้า Makkari Shrine กับที่ Shikotsu Toya National Park Silo Observation Deck จุดชมวิวทะเลสาบโทยะยอดฮิต ซึ่งจะมีร้านขายของฝากอยู่ด้วย
จากนั้นเราขับเข้าเมือง Toya Onsen ริมทะเลสาบ ทานอาหารเที่ยงที่ร้านอาหารท้องถิ่นแบบบ้านๆ Local รสชาติดีมาก ราคาไม่แพง มีปลาแซลมอน ย่าง สดๆจากทะเลสาบให้เรากินด้วย ส่วนฝั่งตรงข้ามมีร้านอาหารก็มี ร้านขนมญี่ปุ่น เป็นโมจิในน้ำซุป มีทั้งแบบ เย็นและร้อน หอมหวานอร่อยมาก ใครชอบห้ามพลาด
ทานข้าวเที่ยงเสร็จเราขับรถไปที่ Mount Usu Ropeway ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวฮิตของทะเลสาบโทยะ นั่ง ropeway ขึ้นไปบนภูเขาไฟ Usu มีที่นั่งเล่นชมวิวพร้อมกับคาเฟ่ ที่มี ขายไอศครีม และเครื่องดื่มต่างๆ แถมยังสามารถเดินไปที่จุดชมปล่องภูเขาไฟที่ยังปะทุอยู่มีควันลอยให้เราเห็นด้วย ระยะทางเดินชมปากปล่องนี้เดินไปได้ไกลมาก มีให้เลือก 3 ระยะทาง จากจุดแรกประมาณ 500 เมตร จุดที่สองประมาณ 1.5 กิโลเมตรแต่เป็นการขึ้นลงบันไดประมาณครึ่งนึงของระยะทาง และไกลสุดน่าจะประมาณ 4 กิโลเมตร อย่าลืมเผื่อเวลาตอนเดินกลับด้วยนะ
เที่ยวเสร็จเราก็กลับเข้าเมือง Toyako Onsen อีกครั้งแล้วเช็คอินเข้าโรงแรม จากนั้นก็เดินเล่นริมทะเลสาบ แล้วก็เช่าเรือเป็ด ซึ่งเป็นแบบ มีมอเตอร์ในตัวทำให้ไม่ต้องปั่น ขับเล่นวนๆอยู่ในทะเลสาบ ชิวๆ แล้วก็กลับเข้าโรงแรมไปแช่ออนเซ็นน้ำแร่ชมวิวสบายๆ แล้วก็ไปทานอาหารค่ำที่โรงแรมกันต่อซึ่งเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ มีเมนูให้เราเลือกทานได้หลากหลายมาก ที่ไฮไลท์คือ สเต็กเนื้อวากิวอร่อยมาก
ทานอาหารเสร็จก็เตรียมตัวชมการแสดงพลุริมทะเลสาบได้เลย โดยพลุจะจุดจากในเรือที่ล่องมากลางทะเลสาบตอนกลางคืน ถ้าใครนอนห้องที่สามารถเห็นวิวทะเลสาบได้ชัดๆก็นอนดูพลุจากในห้องนอนได้เลย หรือถ้าอยากเห็นใกล้ๆก็ลงมาที่ทางเดินริมทะเลสาบก็ได้
ที่พักของเราคืนนี้ชื่อว่า Toya Kohantei เป็นเรียวกังติดกับทะเลสาบโทยะเลย และบางห้องก็สามารถมองเห็นวิวทะเลสาบจากในห้องได้เลยด้วย
วันที่ 7: Noboribetsu Jigokudani, Marine Park Nixe และ Jōzankei
เช้าวันต่อมาบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าที่โรงแรมนี้ก็ดีมากมีอาหารให้เลือกเยอะ อยู่ในห้องเดียวกันกับอาหารค่ำ แต่ตอนเช้าวิวทะเลสาบสวยมาก
หลังจากทานอาหารเสร็จเราก็ไปต่อกันที่เมือง Noboribetsu จุดหมายแรกของเราก็ คือ หุบเขานรก หรือ Jigokudani แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของเมือง Noboribetsu นั่นเอง เป็นบรรยากาศทางเดินชมวิวน้ำพุร้อนที่ปะทุขึ้นมาจากภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ ตลอดเส้นทาง แล้วก็ยังมีซึ่งมีทางเดินเชื่อมต่อข้ามภูเขาไปอีกฝั่งที่เป็นทะเลสาบ Oyunuma Pond ซึ่งเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟและยังไม่ดับด้วย นอกจากนี้ที่โนโบริบัตสึยังมีกระเช้าขึ้นเขาไปที่ Bear Park แต่เราไม่ได้ไปเพราะว่าฝนตกหนัก
เสร็จแล้วเราไปต่อกันที่ Noboribetsu Marine Park Nixe อควาเรียมชื่อดังอีกแห่งของเกาะฮอกไกโด แม้พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่นี่จะไม่ได้มีขนาดใหญ่มาก แต่ก็ออกแบบมาเหมือนกับเป็นหมู่บ้านในยุโรปที่มีปราสาทหลังใหญ่อยู่ตรงกลาง แล้วก็ยังอัดแน่นไปด้วยกิจกรรมให้ทำและชมเยอะมาก มากกว่าหลายๆที่ที่เคยไปมาเลย มีทั้งการแสดงปลาโลมา, การแสดงแมวน้ำ, การเดินขบวนนกเพนกวิน และการแสดงแสงสีเสียงฝูงปลาซาร์ดีนขนาดใหญ่ จากตอนแรกคิดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมงกลายเป็นว่าอยู่นานถึง 4 ชั่วโมงเลย ใครได้มาเที่ยวแถวนี้ไม่ควรพลาดที่นี่
พอตกเย็น เราขับรถกันไปที่ Jōzankei เมืองออนเซ็นชื่อดังที่อยู่ใกล้ๆกับเมือง ซัปโปโร วันที่เราไปเป็นช่วงใบไม้แดง ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีกำลังสวยเลย แต่กว่าที่เราจะไปถึงที่พักก็พระอาทิตย์ตกดินไปแล้วเราจึงเช็คอินทานอาหารค่ำแบบบุฟเฟ่ต์อีกครั้งและมีก็มีอาหารและขนมให้เลือกเยอะมากเช่นกัน โดยเฉพาะขนมที่มีให้เลือกและค่อนข้างเยอะและหลายๆอย่างรสชาติโอเคเลย แล้วเราก็ไปแช่ออนเซ็นกันต่อ จากนั้นเราก็ไปงาน Illumination ที่สวน Jozankei Futami Park ซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรมด้วยการเดินประมาณ 15 นาที โดยที่เราสามารถขอบัตรเข้าชมฟรีได้จากโรงแรมเลย หรือถ้าใครไม่มีบัตรก็ใช้ระบบการบริจาคเอาที่หน้าทางเข้าได้เช่นกัน งานอลูมิเนชั่นที่นี่ถือว่าจัดได้ค่อนข้างดีมากๆ ไม่ใช่แค่การเปิดโคมไฟเท่านั้น แต่มีการแสดงแสงสีเสียงตระการตาเลยทีเดียว ใครได้ไปโจซังเคช่วงที่มีการแสดงนี้ห้ามพลาดเด็ดขาด
ที่พักของเราในคืนนี้ คือ Jozankei View Hotel เป็นโรงแรมขนาดใหญ่ มีออนเซนขนาดใหญ่มาก, สระว่ายน้ำ, สวนน้ำเด็ก โซนตู้เกมส์ รวมทั้งที่จอดรถที่รองรับได้เยอะมาก
วันที่ 8: Hill of Buddha และ Takino Suzuran Hillside Park
ตื่นเช้ามาวันสุดท้ายก่อนจะไปคืนรถที่ซัปโปโร เราทานอาหารเช้า ในห้องอาหารเดียวกันกับอาหารค่ำ แต่เห็นวิวภูเขาด้านนอกสวยงาม แล้วไปเดินเล่นในตัวเมือง Jozankei อีกรอบ บรรยากาศตอนเช้าสวยมากยิ่งในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีแบบนี้
ก่อนจะเช็คเอ้าท์ แล้วเราจะไปชมวิวทะเลสาบซัปโปโรที่อยู่ใกล้ๆก่อนที่ Sapporo Lake Observation Deck เป็นอีกหนึ่งจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงาม
เสร็จแล้วเราจะไปเที่ยวสวนสวยๆชานเมืองซัปโปโรกันต่อ โดยที่แรกที่เราจะไปก็คือ Hill of Buddha ซึ่งเป็นสวนสาธารณะที่มีงานสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นและสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของฮอกไกโด ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดังของญี่ปุ่น Andō Tadao นอกจากนี้ก็ยังมี ส่วนอื่นๆเช่น รูปปั้นโมอายขนาดยักษ์เรียงรายบนเนิน และอื่นๆอีกด้วย ใช้เวลาอยู่ที่นี่ประมาณ 1 ชั่วโมง
ต่อจากนั้นเราก็ไปที่ สวน Takino Suzuran Hillside Park เป็นอีกหนึ่งสวนสาธารณะที่มีขนาดใหญ่แบ่งออกเป็นส่วนย่อยๆภายในมากมาย โดยเฉพาะสวนดอกไม้และสนามเด็กเล่นซึ่งมีอยู่หลายโซนด้วยกัน ช่วงที่เราไปเป็นใบไม้เปลี่ยนสี บรรยากาศสวยงามมากพร้อมทั้งมีทุ่งดอก Kochia ที่กำลังเป็นสีแดงสวยอยู่พอดี ใช้เวลาอยู่ในสวนนี้ ประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าๆ ก็ มืดแล้ว ถึงเวลาเอารถไปคืน ที่สาขาข้างสถานีรถไฟซัปโปโรซักที เป็นการจบทริปอย่างสนุกสนานและเต็มอิ่มมาก
ขับรถเที่ยวฮอกไกโดง่ายกว่าที่คิด
การขับรถเที่ยวฮอกไกโดนั้นทั้งสนุกและง่ายดาย เพราะตลอดทริปที่ขับคืนถนนคนน้อย รถน้อยมากกกกก แบบ กไก่ล้านตัว ไม่เจอรถติดเลยซักวันเดียว แม้แต่วันที่ขับผ่านเมืองและเข้าเมืองซัปโปโรไปคืนรถ การเช่ารถเดี่ยวนี้ก็ง่าย อย่างครั้งนี้เราก็จองผ่าน Klook.com มีทั้ง option เลือกเยอะ และ ราคาก็ดี ตอนรับรถก็ไม่มีปัญหาใดๆ
ส่วนการค้นหาสถานที่และเส้นทางก็ง่ายมากเพราะ Google Map นั้นแม่นยำแบบ 100% แบบไม่หลงเลย ที่จอดรถก็มีเยอะ หลายๆแห่งก็ฟรีด้วย