แนะนำการท่องเที่ยว คามิโคจิ 2025 มนตร์เสน่ห์ของญี่ปุ่นที่ไม่มีวันจางหาย


คามิโคจิ (Kamikochi) สวรรค์บนดินของคนรักธรรมชาติที่รักการผจญภัย ดินแดนแห่งสายน้ำที่โอบล้อมด้วยขุนเขา ฉากสุดอลังการที่ดึงดูดให้ผู้คนหลั่งไหลมาเช็กอิน เป็นมนต์เสน่ห์ของประเทศญี่ปุ่นที่นักท่องเที่ยวทั้งหลายใฝ่ฝัน อยากไปสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้ง แต่ก่อนจะไปทัวร์แหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติอย่างใกล้ชิด เราขออาสาแนะนำการท่องเที่ยวคามิโคจิ ที่กำลังจะเปิดเส้นทางให้ได้ชมทิวทัศน์สุดอลังการ ราวกับอยู่สวิตเซอร์แลนด์ สำหรับทริปในปี 2025 มีอะไรน่าสนใจรออยู่บ้าง ไปดูกันเลย
รู้จัก “ คามิโคจิ ” ดินแดนแห่งสายน้ำกลางขุนเขา สวรรค์คนรักธรรมชาติ
คามิโคจิ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติของประเทศญี่ปุ่น เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติจูบุซังกะคุ (Chubu Sangaku National Park) ตั้งอยู่ในจังหวัดนากาโนะ โดดเด่นด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นที่ราบสูง ทอดยาวตามแม่น้ำ สะท้อนให้เห็นภาพของเทือกเขาเจแปนเอลป์ที่กระทบลงบนสายน้ำ ทั้งยังเป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์อีกแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ซึ่งในปัจจุบันคามิโคจิได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นสถานที่ชมทัศนียภาพอันงดงามเป็นพิเศษ เทียบเท่าสมบัติของชาติและอนุสรณ์ทางธรรมชาติพิเศษในระดับโลกอีกด้วย
นอกจากจะเป็นเป้าหมายของผู้ที่ชื่นชอบการเดินป่า ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวทุกประเภท เนื่องจากเส้นทางไม่ได้สลับซับซ้อนเท่าไหร่นัก เหมาะจะเที่ยวแบบ One Day Trip หรือใครติดใจอยากพักค้างคืนก็สามารถจองที่พักกับทางอุทยานได้อีกด้วย หากใครอยากไปเที่ยวคามิโคจิด้วยตัวเอง แต่ไม่แน่ใจว่าจะเปิดเดือนไหน สำหรับปี 2025 พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวในวันที่ 17 เมษายน – 15 พฤศจิกายน เช่นเดียวกับทุก ๆ ปี
รวมวิธีการเดินทางไป คามิโคจิ แบบไหนสะดวกที่สุด ?
การเดินทางไป คามิโคจิ ต้องผ่านถนนในลักษณะเส้นทางผ่านเขาเป็นส่วนใหญ่ ยิ่งเข้าใกล้พื้นที่อุทยานก็มีข้อจำกัดที่ไม่อนุญาตให้รถยนต์ส่วนตัวผ่าน แน่นอนว่าทางเลือกที่เหมาะกับนักท่องเที่ยวอย่างเรานั่นคือการใช้บริการรถสาธารณะ โดยการเดินทางจากประเทศไทยสามารถเลือกจุดหมายในเมืองใหญ่ ๆ ได้ตามสะดวก ในหัวข้อนี้เราจึงจะพาไปหาคำตอบพร้อมกันว่าไปคามิโคจิ สามารถลงสนามบินไหนได้บ้าง
⚫︎ โอซาก้า – คามิโคจิ
หากต้องการแวะไปเที่ยวที่เมืองโอซาก้า (Osaka) แนะนำให้เลือกลงที่สนามบินนานาชาติโอซาก้าอิตามิ ซึ่งสามารถเดินทางเข้าตัวเมืองแล้วต่อบัสจากสถานีโอซาก้าได้สะดวก จากนั้นให้ต่อรถจากสถานีชินโอซาก้าไปยังสถานีคามิโคจิ โดยใช้เวลาประมาณ 7 – 8 ชั่วโมง
⚫︎ นาโกย่า – คามิโคจิ
สำหรับใครที่มีแพลนไปท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นในช่วงเดือนกรกฎาคม – ตุลาคม สามารถลงที่สนามบินชูบุเซ็นแทรร์ แวะเที่ยวในเมืองนาโกย่า (Nagoya) ก่อนได้ แถมยังสามารถนั่งบัสด่วนพิเศษถึงปลายทางคามิโคจิโดยไม่ต้องต่อรถ และใช้เวลาประมาณ 6 – 7 ชั่วโมง
⚫︎ ทาคายาม่า – คามิโคจิ
ถ้าอยากแวะเที่ยวที่เมืองทาคายาม่า (Takayama) ควรเลือกลงที่สนามบินชูบุเซ็นแทรร์ในเมืองนาโกย่า แล้วขึ้นบัสที่สถานีนาโกย่า จากนั้นค่อยต่อรถสถานีทาคายาม่า ปักหมุดเที่ยวจนหนำใจแล้วค่อยไปต่อที่สถานีฮิระยุ ออนเซ็น หรือบัสฮิระยุ เทอมินอล สู่ปลายทางคามิโคจิได้ในเวลา 3 – 4 ชั่วโมงเท่านั้น
⚫︎ โตเกียว – คามิโคจิ
ไปเที่ยวญี่ปุ่นทั้งที เพียงแค่เลือกลงที่สนามบินนาริตะ นอกจากจะได้แวะเช็กอินเมืองหลวงของประเทศอย่างโตเกียว (Tokyo) แล้ว ยังสามารถขึ้นบัสที่สนานีชินจูกุ เทอมินอล แล้วนั่งยาว ๆ ไปถึงคามิโคจิระยะเวลาประมาณ 4 – 7 ชั่วโมง
รีวิว คามิโคจิ ในแต่ละฤดู รับประกันความสวยงามทุกช่วง
แม้จะเปิดให้เที่ยวชมธรรมชาติแค่ครึ่งปี แต่กลับครอบคลุมการท่องเที่ยวทุกฤดูกาล คำถามต่อมาคือการไปเที่ยว คามิโคจิ เดือนไหนจะสวยที่สุด ต้องบอกเลยว่าความงามของธรรมชาติย่อมแตกต่างกันไป ซึ่งแต่ละช่วงก็จะมีจุดเด่นที่ไม่เหมือนกัน เป็นเสน่ห์ที่น่าหลงใหลตามฤดูกาล สามารถเลือกไปได้ทุกเดือน ส่วนฤดูกาลไหนจะเป็นอย่างไร ต้องไปดู
⚫︎ ฤดูใบไม้ผลิ (เมษายน – มิถุนายน)
ช่วงแรกเริ่มของการเปิดอุทยานเป็นช่วงปลายฤดูหนาวที่ยังหลงเหลืออยู่ บางพื้นที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม แต่บางพื้นที่ยังคงถูกปกคลุมด้วยหิมะ อากาศเย็นสบาย แต่เมื่อถึงช่วงเดือนมิถุนายนอาจมีฝนตกในบางวัน จึงเป็นฤดูกาลที่เงียบสงบ เพราะนักท่องเที่ยวยังไม่เยอะมาก เหมาะกับคนที่ต้องการพักผ่อนในวันหยุดสุดชิล เพียงแต่ในช่วงนี้ยังไม่ค่อยมีร้านค้าหรือโรงแรมเปิดให้บริการมากนัก
⚫︎ ฤดูร้อน (กรกฎาคม – กันยายน)
ด้วยภูมิประเทศที่อยู่บนที่สูง ทั้งยังรายล้อมไปด้วยผืนป่าและภูเขา ทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 12 – 24 องศาเซลเซียส สภาพอากาศยังคงเย็นสบาย เป็นช่วงที่เหมาะกับการทำกิจกรรมกลางแจ้ง เรียกได้ว่าเป็นฤดูกาลแห่งการเดินป่าและปีนเขา ชาวญี่ปุ่นรวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมแวะมาพักผ่อนชมธรรมชาติ หลีกเลี่ยงความวุ่นวายในตัวเมือง
⚫︎ ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน – พฤศจิกายน)
ในช่วงฤดูนี้ อุณหภูมิโดยเฉลี่ยลดลงไปอยู่ที่ 10 – 14 องศาเซลเซียส ต้นไม้ใบไม้กำลังเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ส้ม และแดง จึงกลายเป็นช่วงพีคของการท่องเที่ยวที่แห่งนี้เลยก็ว่าได้ หากจะถามว่าการไปคามิโคจิเพื่อชมใบไม้เปลี่ยนสีต้องไปในช่วงเดือนไหน แนะนำให้ปักหมุดไปเช็กอินได้ตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม – ต้นเดือนพฤศจิกายน และกำลังจะผลัดเปลี่ยนเข้าสู่ฤดูหนาวอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน
⚫︎ ฤดูหนาว (พฤศจิกายน – เมษายน)
เมื่อฤดูหนาวมาเยือน พื้นที่อุทยานก็จะเต็มไปด้วยหิมะที่ตกลงมาปกคลุม จึงเป็นช่วงปิดทำการ เพื่อให้ธรรมชาติได้ฟื้นฟู บวกกับอากาศหนาวจัด ทำให้ร้านค้าและโรงแรมต่าง ๆ ก็ปิดให้บริการด้วยเช่นกัน แต่ถ้าต้องการมาเที่ยวในช่วงนี้จำเป็นต้องติดต่อไกด์ท้องถิ่น เพื่อยื่นเอกสารขออนุญาตเข้าอุทยานและนำทางการท่องเที่ยว
7 ข้อควรรู้ก่อนเดินทางไปยัง คามิโคจิ เตรียมพร้อมสำหรับปี 2025
เนื่องจาก คามิโคจิ เป็นแลนด์มาร์กทางธรรมชาติที่สำคัญ ประเทศญี่ปุ่นจึงตระหนักถึงการรักษาธรรมชาติที่สวยงาม ดังนั้นการไปท่องเที่ยวในพื้นที่อุทยาน จำเป็นต้องศึกษาข้อมูลและกฎของสถานที่นั้น ๆ เพื่อความพร้อมในการเดินทาง ก่อนไปเช็กอินสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของญี่ปุ่น ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ไปดูกันได้เลย
⚫︎ นักท่องเที่ยวไม่สามารถนำรถส่วนตัวเข้าพื้นที่อุทยานได้ ด้วยข้อจำกัดในการใช้รถยนต์ส่วนตัวที่มีมาตั้งแต่ปี 1975 เพื่อรักษาความสวยงามของธรรมชาติและลดการเกิดไอเสียให้ได้มากที่สุด
⚫︎ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินป่า จำเป็นต้องพกแผนที่เดินป่าติดตัว
⚫︎ ระหว่างการเดินทางในเส้นทางธรรมชาติของอุทยาน ไม่ควรเข้าใกล้หรือให้อาหารสัตว์ป่า
⚫︎ เพื่อรักษาความสะอาดและให้เกียรติสถานที่ท่องเที่ยวที่ไปเยือน ไม่ควรทิ้งขยะในอุทยาน
⚫︎ ทางอุทยานจะมีการเก็บค่าบริการสำหรับการใช้ห้องน้ำสาธารณะ
⚫︎ อุทยานคามิโคจิจะปิดให้บริการในช่วงฤดูหนาวของทุกปี เพื่อให้ธรรมชาติได้ฟื้นฟู โดยในช่วงที่ปิดทำการนั้น สำนักงานภายในอุทยาน ร้านค้า โรงแรม รวมถึงรถบัสก็ปิดให้บริการด้วยเช่นกัน
⚫︎ หากใครต้องการไปท่องเที่ยวหลังจากอุทยานปิดให้บริการ จำเป็นต้องใช้ไกด์ท้องถิ่นในการยื่นเอกสารขออนุญาตเข้าอุทยาน และต้องเดินเท้าเข้าไปเท่านั้น จึงเป็นช่วงที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมนั่นเอง
บทส่งท้าย
และทั้งหมดนี้ คือเหตุผลที่บอกได้ว่า ทำไมคามิโคจิจึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการได้ชมธรรมชาติที่งดงาม ช่วยให้รู้สึกดีแบบเหนือคำบรรยาย เหมือนได้ชาร์จแบตร่างกาย พร้อมฮีลใจที่เหนื่อยล้า ใครที่กำลังวางแผนไปเที่ยวต่างประเทศ ลองเข้ามาศึกษาข้อมูลของแหล่งท่องเที่ยวเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับทริปพักผ่อนในญี่ปุ่นกับเราก่อน รับรองเลยว่าแลนด์มาร์กที่รายล้อมด้วยธรรมชาติสวย ๆ แห่งนี้ จะเป็นตัวเลือกที่ไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน



