คามิโคจิ Kamikochi แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติวิวสุดอลังการ
Photo from https://commons.wikimedia.org/wiki/File:%E7%A7%8B%E3%81%AE%E4%B8%8A%E9%AB%98%E5%9C%B0_%28Kamikochi_in_autumn%29_24_Oct,_2011_-_panoramio.jpg
คามิโคจิ (Kamikochi) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่น(Japan Alps) ภายในจังหวัดนากาโน่(Nagano) ถ้าคนที่รักการท่องเที่ยวแนวสายลม ป่าเขาและสองเราที่นี่บอกเลยว่าสุโค่ยมากๆเชียวค่ะ เนื่องจากได้รับการยอมรับว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีทิวทัศน์ภูเขาที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ จึงเรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของนักเดินทางสายธรรมชาติและสายผจญภัยรักการท้าทายเลยล่ะค่ะ
คามิโคจิมีลักษณะเป็นที่ราบสูงยาวไปตามแม่น้ำอาซุสะ(Azusa River Valley) มีระยะทางยาว 15 กิโลเมตร มีความสูงเฉลี่ยประมาณ 1,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ล้อมรอบด้วยภูเขาสูงมากมาย เช่น ภูเขานิชิโฮทาคาดาเกะ(Nishihotakadake) สูง 2,909 เมตร, ภูเขาโอคุโฮทาคาดาเกะ(Okuhotakadake) สูง 3,190 เมตร, ภูเขามาเอะโฮทาคาดาเกะ(Maehotakadake) สูง 3,090 เมตร และภูเขาไฟยาเกะดาเกะ(Yakedake)ซึ่งยังไม่ดับ สูง 2,455 เมตร ทำให้มีทัศนียภาพที่สวยงามและเป็นสถานที่ยอดนิยมของบรรดานักปีนเขาและผู้ที่ชื่นชอบธรรมชาติทั้งหลาย โดยที่นี่นั้นจะเปิดให้นักท่องเที่ยวมาเยือนเฉพาะช่วงกลาง/ปลายเดือนเมษายนจนถึงกลางเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ก่อนจะปิดให้บริการในช่วงฤดูหนาว ดังนั้นถ้าจะมาทั้งทีต้องแพลนดันดีๆนะเออ ในเขตคัปปาบาชิ(Kappabashi) ภายในคามิโกจิ ช่วงที่เรียกได้ว่าเป็นไฮซีซั่นคนแน่นมากเว่อร์นี่ต้องยกให้ในช่วงวันหยุดฤดูร้อนประมาณกลางเดือนกรกฎาคมไปจนถึงเดือนสิงหาคม และวันหยุดสุดสัปดาห์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงประมาณเดือนตุลาคม ดังนั้นถ้าไม่ชอบคนเยอะๆหลีกเลี่ยงช่วงพีคๆได้เป็นดีค่ะ
ส่วนผู้ที่ชื่นชอบในการผจญภัยปีนเขา ที่ต้องการความท้าทายมากกว่านี้ คามิโคจิ(Kamikochi)ก็มีเส้นทางและยอดเขามากมายให้ท่านได้เลือก มีตั้งแต่ไม่ยากและไม่นานนักไปจนถึงที่ต้องใช้เวลาค้างแรม ปีนป่ายไปตามยอดเขาหิน ซึ่งหลายๆเส้นทางต้องทำการลงทะเบียนก่อนเท่านั้น แล้วถ้าไม่มีเวลาอยากเที่ยวแบบวันเดียวสบายๆทำได้รึเปล่า บอกเลยว่าได้นะคะทั้งไม่ยากและก็ดีงามกว่าที่คิดแม้เวลาจะน้อยไปหน่อยก็สามารถเลือกไปในแหล่งท่องเที่ยวเด่นๆ หรือจะเดินป่าก็ยังได้นะคะ โดยเฉพาะคนที่มาเทียวที่โตเกียวหรือโอซาก้าที่มีเวลาจำกัดแต่อยากมาแวะเที่ยวที่นี่แบบเช้าไปเย็นกลับก็ทำได้อยู่ค่ะ เพราะมีรถบัสตรงจากตัวเมืองทั้งสองมาที่คามิโคจิเลยใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมง หรือจะใช้ JR PASS นั่งชินคันเซนไป Nagano แล้วต่อรถไฟลงไปที่สถานี Shinshimashima ของเมือง Matsumoto แล้วต่อรถบัสอีกประมาณ 1 ชั่วโมง ก็จะใช้เวลาน้อยกว่าหน่อยนึง แต่ก็จะต้องเสียเวลาเดินทางไปค่อนข้างมาก ควรออกจากในเมืองตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อให้มีเวลาเดินเที่ยวบริเวณนี้ประมาณ 3-4 ชั่วโมง ก็จะสามารถเก็บไฮไลท์เส้นทางเดินป่าง่ายๆของที่นี่ได้เกือบครบหมดแล้ว
ถ้าไม่รู้จะเริ่มแพลนยังไงเราก็มีแนะนำให้ค่ะ โดยวิธีที่สามารถเที่ยวคามิโคจิในหนึ่งวันแบบชิลๆ ก็เริ่มจากการเดินไปตามเส้นทางเดินป่าริมแม่น้ำอาซุสะ(Azusa River) เริ่มจากสระน้ำไทโช(Taisho Pond) ไปยังสะพานเมียวจิน(Myojin Bridge) เส้นทางเป็นพื้นที่ราบ ผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ในการเดินป่าก็สามารถเดินได้ ใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ช่วงที่เหมาะแก่การเดินมากที่สุดคือประมาณกลางเดือนมิถุนายนถึงกลางเดือนกันยายน ซึ่งจะสวยงามเป็นอย่างยิ่งในช่วงฤดูใบไม้ร่วงประมาณกลางเดือนตุลาคม ส่วนพืชอัลไพน์สามารถชมได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมไปจนถึงเดือนตุลาคม(เวลาที่ดีที่สุดคือกลางเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม) นอกจากนี้ยังมีสัตว์ป่าจำพวกลิง นก และหมีที่หาพบได้ยากอีกด้วย
เวลาที่เปิดทำการของคามิโคจิ:
- คามิโคจิเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 17 เมษายนถึง 15 พฤศจิกายนของทุกปี และปิดในช่วงฤดูหนาว รถยนต์ส่วนตัวไม่ได้รับอนุญาต การเข้าถึงเป็นไปได้เฉพาะทางรถบัสหรือแท็กซี่ อุโมงค์คามะที่เป็นทางเข้าสวนสาธารณะเปิดตามกำหนดในวันที่ 17 เมษายน.
เส้นทางเดินป่าคามิโคจิ:
- มีเส้นทางเดินป่าหลายเส้นทางที่เหมาะกับทุกระดับความสามารถ เส้นทางตามแม่น้ำอาซูสะจากบ่อน้ำไทโชไปยังสะพานมโยจินมีพื้นที่ราบและเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น การเดินทางขึ้นยอดเขาที่อยู่ใกล้เคียงจะท้าทายมากขึ้นและแนะนำให้ทำระหว่างกลางเดือนมิถุนายนถึงกลางเดือนกันยายน.
- เส้นทางที่สำคัญได้แก่:
- เส้นทางยาเกะดาเกะ: 12 กม. มีความสูงเพิ่มขึ้น 920 ม.
- เส้นทางคาสุมิซาวะ: 23 กม. มีความสูงเพิ่มขึ้น 1600 ม. เป็นเส้นทางที่เงียบสงบ
- เส้นทางคาราซาวะ: 31 กม. มีความสูงเพิ่มขึ้น 1150 ม. เป็นที่นิยมในฤดูใบไม้ร่วง
- เส้นทางโฮตะกะ: 26 กม. มีความสูงเพิ่มขึ้น 1850 ม. ไปยังภูเขาสูงของญี่ปุ่นหลายลูก.
รายละเอียดเกี่ยวกับจุดท่องเที่ยวต่างๆในคามิโคจิ
1. สระน้ำไทโช(Taisho Pond)
สระแห่งนี้นับเป็นสระที่ให้ความรู้สึกแปลกแหวกแนว ไม่ได้มีแค่น้ำธรรมดาๆทั่วๆไปนะคะหากภายในสระเต็มไปด้วยไม้ที่ผุพังแล้วเกิดเป็นทัศนียภาพที่แปลกตา ถ่ายรูปมาแล้วอย่างสวยเลยค่ะ สิ่งที่ทำให้ตัวสระมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครนั่นเพราะตัวสระนั้น เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟยาเกะดาเกะ(Yakedake) ในปี ค.ศ.1915 เรียกได้ว่าเป็นสระธรรมดาที่ไม่ธรรมดาจริงๆค่ะ
2. สระน้ำทาชิโระ(Tashiro Pond)
ด้วยทำเลที่รายล้อมด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ แถมยังใกล้กับทางเดินป่าที่เชื่อมต่อระหว่างคัปปาบาชิ(Kappabashi)กับสระน้ำไทโช(Taisho Pond) ทำให้สระแห่งนี้กลายเป็นจุดชมธรรมชาติที่สวยมากที่สุดแห่งหนึ่งของคามิโคจิเชียวล่ะค่ะ
3. โรงแรมคามิโกจิอิมพีเรียล(Kamikochi Imperial Hotel)
โรงแรมเก่าแก่และมีมีชื่อเสียงมากที่สุดในคามิโกจิแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1933 เรียกได้ว่าเป็นโรงแรมที่ทั้งสถาปัตยกรรมที่เสมือนรวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับธรรมชาติและวิวทิวทัศน์ดีงามลงตัวแบบสุดๆ การบริการนี่ก็เป็นเลิศจนใครต่อใครล้วนติดใจอยากจะมาซ้ำอีกซักครั้ง
4. รีย์เวสต์ตัน(Weston Monument)อนุสาวรีย์เพียงไม่กี่แห่งที่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อคนญี่ปุ่นแท้ๆ หากสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่นายวอลเตอร์ เวสต์ตัน(Walter Weston 1861-1940) มิชชันนารีภาษาอังกฤษผู้แนะนำการปีนเขาแบบตะวันตกในการเดินในคามิโกจิ ที่ขึ้นชื่อเป็น “แอลป์ญี่ปุ่น” ถือได้ว่าเป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้กับรูปแบบการปีนเขาในญี่ปุ่นที่คุ้นเคยกัน มาสู่ความเป็นสากลมากยิ่งขึ้น จนได้รับการยกย่องในหมู่คนญี่ปุ่นนั่นเองค่ะ
5. สะพานคัปปาบาชิ(Kappabashi/Kappa Bridge) คัปปาบาชิ เป็นสะพานแขวนที่อยู่เหนือแม่น้ำอาซุสะ(Azusa River) ใจกลางของคามิโกจิ ห่างออกจากสถานีรถบัสไปไม่ไกลนัก รอบๆสะพานเป็นที่ตั้งของโรงแรม ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึก เรียกได้ว่าเป็นสะพานที่เป็นจุดชมวิวที่งดงามมากๆแห่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดเลยล่ะค่ะ เพราะจะได้เห็นทั้งเทือกเขาและสายน้ำในเวลาเดียวกัน ยิ่งช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีนี่สวยจริงอะไรจริงมากๆ
6. ที่ลุ่มทาเกะซาวะ(Takezawa Marsh)
ที่ลุ่มน้ำที่เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวสวยๆของคามิโคจิ ที่สำคัญอยู่ไม่ไกลจากสะพานคัปปาบาชิด้วยนะคะ เพียงเดินเท้าต่อไปอีก 5-10 นาทีก็จะถึงที่ลุ่มแห่งนี้
7. สระน้ำเมียวจิน(Myojin Pond/Myojinike)
สระน้ำที่รอบๆเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าโฮทากะ(Hotaka Shrine) และคามอนจิโงยะ(Kamonjigoya) ถ้าท้องหิวนี่สบายใจได้เพราะที่นี่เค้าจะมีร้านอาหารบรรยากาศดีๆริมสระน้ำไว้คอยบริการอีกด้วย โดยสระน้ำแห่งนี้จะมีค่าเข้าชม 300 เยนนะคะ โดยสามารถเดินสะพานคัปปาบาชิไป 1 ชั่วโมงก็ถึงค่ะ
8. ศูนย์นักท่องเที่ยวคามิโกจิ(Kamikochi Visitor Center)
ศูนย์ที่จะอำนวยความสะดวกด้านข้อมูลการท่องเที่ยวของคามิโคจิ โดยพนักงานจะให้ความรู้แนะนำเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ ธรณีวิทยา สัตว์ พื้ช และชาวเมืองพื้นบ้านของคามิโกจิ พร้อมทั้งให้ข้อมูลเกี่ยวกับการปีนเขาอีกด้วย ซึ่งเค้าจะเปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ 8:00-17:00 น. มีปัญหาเกี่ยวกับการท่องเที่ยวหรือการเดินทางสามารถมาสอบถามได้เลยค่ะ
การเข้าชม
คามิโคจิเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน และปิดในช่วงฤดูหนาว รถยนต์ส่วนตัวไม่ได้รับอนุญาต การเข้าถึงเป็นไปได้เฉพาะทางรถบัส อุโมงค์คามะที่เป็นทางเข้าสวนสาธารณะเปิดตามกำหนดในวันที่ 17 เมษายน
วิธีการเดินทาง
รถยนต์ส่วนตัวไม่ได้รับอนุญาต การเข้าถึงเป็นไปได้เฉพาะทางรถบัส
โดยสารรถไฟหรือรถบัสจากมัตสึโมโตะ(Matsumoto)
จากสถานี Matsumoto Station โดยสารรถไฟ Matsumoto Electric Railway ไปลงที่ Shin-Shimashima Station(30 นาที) ต่อรถบัสที่ไปยัง Kamikochi(60 นาที) ค่าใช้จ่ายเที่ยวเดียว 2,450 เยน ไปกลับ 4,550 เยน ไม่สามารถใช้ JR Pass ได้กับรถไฟหรือรถบัส
โดยสารรถบัสจากทาคายาม่า(Takayama)
จาก Takayama โดยสารรถบัส Nohi bus ไปลงที่ Hirayu Onsen(60 นาที 1,570 เยน บัสออกชั่วโมงละรอบ) จากนั้นต่อรถบัสที่ไปยัง Kamikochi(25 นาที เที่ยวเดียว 1,160 เยน ไปกลับ 2,050 เยน บัสออกชั่วโมงละ 2 รอบ)
รถยนต์ส่วนตัว
ขับไปบนเส้นทาง National Route 158 จาก Matsumoto หรือ Takayama แต่ไม่อนุญาตให้นำรถส่วนตัวเข้าไปภายใน จึงมีลานจอดรถให้บริการ วันละ 500 เยน จากนั้นนั่งรถบัสเข้าไปสู่คามิโคจิประมาณ 20-30 นาที(1,000 เยน) หรือนั่งแท๊กซี่ 4,000 เยน