รีวิว North Kyushu 5 วัน แบบเจาะลึก ตามมุมเล็กๆที่ซ่อนอยู่

review-5days-north-kyushu-trip


อัพเดตล่าสุดเมื่อ 30 ตุลาคม 2567

 

เมื่อพูดถึงญี่ปุ่น หลายคนอาจนึกถึงโตเกียว เกียวโต หรือโอซาก้า แต่ในมุมที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงมากนัก คิวชูตอนเหนือก็เป็นที่หนึ่งที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ที่ยังไม่ถูกค้นพบ ทั้งธรรมชาติสวยงาม วัฒนธรรมดั้งเดิม และประวัติศาสตร์อันยาวนาน การเดินทาง 5 วันในคิวชูตอนเหนือเส้นทางนี้ เดินทางไปพร้อมกับเราตามสถานที่ที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก และสัมผัสบรรยากาศที่เงียบสงบกัน

 

 

 

ภาพรวมการเดินทางท่องเที่ยวทริปคิวชูเหนือ

 

ก่อนจะเริ่มต้นรีวิว เพื่อให้เห็นภาพการเดินทางในทริปนี้ของเราก่อน จึงจะขอเริ่มต้นด้วยแผนที่ และภาพรวมการเดินในทริปนี้ทั้งหมดก่อนแล้วกัน เราเริ่มต้นทริปที่เมือง ฟุกุโอกะ จากสถานี Hakata เรานั่งรถไฟลงที่ สถานี Sasebo จากนั้นก็เช่ารถไปที่ เที่ยวรอบๆเมือง Sasebo ก่อนจะเข้าพักที่ Huis Ten Bosch จากนั้นเราก็ขับรถไปเที่ยวกันต่อที่เมือง Hita และเข้าพักที่ Hita onsen ริมแม่น้ำ

วันที่ 3 เราขับรถไปที่เมืองคุมาโมโต้ โดยวันนี้เราเที่ยวในตัวเมือง ปราสาท แล้วก็ช้อปปิ้ง พอวันที่ 4 เราขับรถไป Kitakyushu เที่ยวปราสาท และเมืองริมทะเล ส่วนวันสุดท้ายเราจะขับรถกลับเข้าเมืองฟุกุโอกะ เที่ยวในเมืองฟุกุโอกะแล้วคืนรถในตอนเย็น

ถ้าใครไม่อยากขับรถ ก็สามารถใช้บริการรถไฟได้ แล้วสถานที่ไหนที่ไปถึงได้ยากก็ใช้บริการรถ Taxi เอาก็ได้ เพราะในหลายๆเส้นทางตอนเปลี่ยนเมืองนั้นนั่งรถไฟเอาเร็วกว่าขับรถซะอีก

 

 

 

 

วันแรก: สัมผัสเสน่ห์ของทะเลที่เมือง Sasebo

หลังจากมาถึงสนามบินที่ ฟุกุโอกะ เราจะแวะหาข้อมูลยาไต (Fukuoka YATAI Concierge) กันที่เค้าเตอร์ tourist information ที่สนามบินกันก่อน สำหรับวันที่เราจะเที่ยวในเมืองฟุกุโอกะ ซึ่งมีบริการเครื่องแปลภาษาแบบ เรียลไทม์ด้วย แม้จะไม่ถูกต้อง 100% แต่ก็สื่อสารกันได้สะดวกมากขึ้นเยอะเลย

จากนั้นเราก็เดินทางสู่สถานีรถไฟ Hakata เพื่อเริ่มต้นการเดินทางของทริปด้วยการนั่งรถไฟ Huis Ten Bosch/Midori ขบวนรถไฟสวยคลาสสิคไปลงที่สถานี Sasebo แล้วเราก็เดินทางต่อไปยัง Kujukushima Park จุดชมวิวหมู่เกาะเปิดใหม่ที่สวยงาม จากนั้นก็ไปทาน Sasebo Burger เมนูดังประจำเมืองที่ร้าน Sasebo Burger Museum ซึ่งนอกจากเบอร์เกอร์จะอร่อยมาก และมีขนาดใหญ่มากแล้วก็ยังมีวิวที่สวยสุดๆด้วย

จากนั้นเราจะไปเที่ยวกันต่อที่ Kujukushima Pearl Sea Resort ซึ่งที่นี่มี กิจกรรมหลากหลายให้เลือกทำ โดยที่แรกที่เราจะไปคือการ ล่องเรือ Pearl Queen ซึ่งจะพาเราไปล่องเรือชมเกาะต่างๆ ในทะเล Kujukushima บนเรือมีทั้งหมด 3 ชั้น มีทั้งแบบห้องแอร์ และแบบเอ้าดอร์ มีมุมให้เลือกนั่ง เลือกยืนได้ตามใจชอบ รวมทั้งยังมีมุมขายขนม เครื่องดื่ม และของที่ระลึกอยู่บนเรือด้วย ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ชิลๆสุดๆเลย

จากนั้นก็ไปเรียนรู้การ สกัดไข่มุก ได้ประสบการณ์แบบเจาะลึกที่หายากในแหล่งเพาะเลี้ยงไข่มุกของญี่ปุ่น โดยจะอยู่ภายใน Kujukushima Aquarium Umikirara อควาเรียมที่แสดงสัตว์ทะเลท้องถิ่น ที่มีทั้งการแสดงและส่วนที่ให้เราได้สัมผัสกับสัตว์ทะเลเช่น ปลาดาว อย่างใกล้ชิด รวมทั้งที่นี่เราสามารถเดินเล่นได้แบบสบายๆเพราะคนไม่เยอะเหมือนสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตตามเมืองใหญ่อื่นๆ

ตกเย็นวันนี้เราจะเดินทางไป Huis Ten Bosch สวนสนุกที่ว่ากันว่ามีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น มีชื่อเสียงด้าน เมืองยุโรป ทุ่งดอกไม้ กังหันลม การแสดงแสงสีเสียงยามค่ำคืน และบ้านผีสิงที่ติดอันดับท้อปของญี่ปุ่นด้วย คือเรียกได้ว่ามีกิจกรรมเยอะมากจนวันเดียวก็ยังเที่ยวไม่ครบเลย

ส่วนอาหารมือเย็นของเราวันนี้จะทานกันภายใน ห้องอาหารยุโรปที่เน้นเสิร์ฟเมนู Lemon Streak ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเมนูขึ้นชื่อของเมืองนี้ เสต็กเนื้อนุ่มกับความหอมหวานของเลม่อนเข้ากันได้ดีมากๆ เสร็จแล้วเราก็เช็คอินเข้าพักที่ Hotel Amsterdam ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางของ Huis Ten Bosch  เลย

 

 

 

 

วันที่ 2: เที่ยวเมืองเก่า นอนออนเซน ทำ Umechu ที่เมือง Hita

วันที่สอง  พอตื่นเช้าๆมาก็เดินเที่ยวเล่นได้ต่อ ก่อนจะไปกินอาหารเช้าแบบอลังการ ก่อนที่เราจะเดินทางไปยังเมือง Hita โดยจุดหมายแรกของเราคือ  Mamedamachi ย่านเมืองเก่าที่ยังคงความเป็นญี่ปุ่นในยุคเอโดะ (Edo) ไว้แบบสมบูรณ์ ถ้าเราอยากเห็นบรรยากาศย้อนยุคเงียบๆ ต้องไม่พลาดที่นี่ เพราะไม่มีนักท่องเที่ยวเยอะ เราสามารถเดินเล่นชมร้านค้าโบราณ และถนนที่สวยงามแบบไม่ต้องรีบร้อน ซึ่งที่นี่จะมีของดีคือ กิจกรรมการทำรองเท้าเกี๊ยะ(Geta Sandals Making experience), พิพิธภัณท์ตุ๊กตาญี่ปุ่นโบราณ(Hina-goten) และ โรงหมักเหล้า(Kuncho Sake Brewery)ซึ่งภายในก็เป็นพิพิธภัณท์การทำเหล้าเช่นกัน

หลังจากพักทานอาหารกลางวันที่ร้าน Hita Yakisoba Soufuren Honten ซึ่งขายเมนู ยากิโซบะ สไตล์ฮิตะ ที่จะผัดกันสดๆพร้อมถั่วงอกแบบล้นๆ แล้วเซิร์ฟมาในกะทะร้อนที่ทำให้เส้นกรอบเกรียม หอม อร่อยมาก  เราก็ไปเรียนรู้การทำ อุเมะชู (เหล้าบ๊วย) ที่ Umeshu Gura OYAMA ซึ่งนอกจากจะได้รู้วิธีทำแล้ว เรายังได้ลองทำเองและนำกลับบ้านได้ด้วย หรือจะมาลองชิมแบบต่างๆก็ได้

จากนั้นเราก็ไปที่ น้ำตกซากุระ หรือ Sakurataki Waterfall น้ำตกขนาดใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ในธรรมชาติ มีน้ำไหลแรงจนเมื่อลมพัดแล้วจะมีน้ำกระเซ็นเหมือนกลีบดอกซากุระจนเป็นที่มาของชื่อน้ำตกนี้ เสร็จแล้วเราก็ไปที่ โรงเบียร์ Sapporo Kyushu Hita แต่ไปไม่ทันเวลาเปิดให้เข้าชม แต่ก็ยังดีที่ได้ แวะชม พิพิธภัณฑ์ Attack on Titan ที่อยู่ใกล้กัน ซึ่งเป็นไฮไลต์ที่แฟนการ์ตูนเรื่องนี้ไม่ควรพลาด

สิ้นสุดวันที่ 2 ที่ Yakatabune Hita onsen ด้วยการทานอาหารค่ำบนเรือ Yakatabune Dinner Cruise ที่ให้เราได้ดื่มด่ำกับวิวแม่น้ำ Mikuma และอาหารอร่อยๆ พร้อมโชว์นกจับปลาแบบโบราณ ก่อนกลับไปพักที่ Kizantei Hotel เรียวกังริมแม่น้ำพร้อมออนเซนวิวสวยจากดาดฟ้า ดีงามสุดๆ

 

 

 

 

วันที่ 3: เที่ยวไฮไลท์ของคิวชูเหนือ บ้านเกิดน้องคุมะมง ที่เมือง Kumamoto

ตื่นเช้ามาในวันที่ 3 ด้วยการไปเดินเล่นชมบรรยากาศริมแม่น้ำ ดูคนพายซับแบบชิลๆ ก่อนไปทานอาหารเช้าชมวิวในโรงแรมของเรา เติมพลังก่อนจะออกเดินทางไปเที่ยวเมืองคุมาโมโต้ ของน้องคุมะมงกันต่อ โดยที่แรกที่เราจะไปคือขึ้นไปบนเขาเก็บผลไม้ตามฤดูกาลที่สวน Kichiji-en ซึ่งในวันที่เราไปนั้นมีเพียงแค่องุ่นให้เก็บแต่องุ่นไร้เมล็ดนี้ก็หอมหวานมากๆเลย แล้วเราก็ไปต่อกันที่ สวน Suizenji Jojuen Garden สวนญี่ปุ่นที่สวยงามและเงียบสงบมาก ซึ่งออกแบบเป็นมินิญี่ปุ่นที่มีทั้งภูเขาไฟฟูจิและทะเลสาบ นอกจากนี้ยังสามารถนั่งจิบชาเขียว ให้อาหารนกและปลาคาร์ปได้ด้วย แล้วก็ไปต่อมื้อเที่ยงกันที่ Sakura-no-Baba Josaien ซึ่งเป็นที่เดิ่นเล่น ช้อป ชิม ชิลในบรรยากาศเมืองญี่ปุ่นโบราณ โดยเราไม่พลาดชิมเมนู คุมาโมโต้ราเมง ซึ่งจะพิเศษตรงที่มีการใส่กระเทียมและหอมเจียว ให้ความหอมหวาน กรุบกรอบ คล้ายเมนูอาหารไทย

อิ่มท้องแล้วเราไปต่อที่ ปราสาทคุมาโมโตะ (Kumamoto Castle) ซึ่งใหญ่และสวยมาก ถึงแม้จะได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวในปี 2016 แต่ปัจจุบันตัวหอคอยหลักนั้นก็ซ่อมเสร็จแล้ว ตกบ่ายเราไปลองงานฝีมือโบราณที่ร้าน Higo Zogan ที่เรียกว่า Zogan หรือในภาษาไทยเรียกว่า การคว่ำเงินคว่ำทอง ซึ่งเป็นการฝังโลหะลงบนข้างของเครื่องใช้ต่างๆ เช่น เครื่องประดับ ดาบ และอื่นๆ เป็นงานฝีมือดั้งเดิมของคุมาโมโตะ โดยเราได้ลองทำลายน้องคุมะมงซะด้วยนะ

เสร็จแล้วเราไปทานมื้อค่ำสุดอร่อยกับเมนูเนื้อแดง Akagyu-don (ข้าวเนื้อวากิวแดง) และ streak ที่ร้าน Akagyu Dining Yoka-Yoka ที่อร่อยได้เรื่องเลยทีเดียว ใครสายเนื้อต้องมาลอง แล้วก็อย่าเพิ่งออกจากตึก Sakuramachi นะเพราะช่วงนี้เขามีงาน Light-up Event ในธีมที่ชื่อว่า Princess Kaguya’s Illuminated Garden ด้วย ค่าเข้า 2000 เยน แต่ภายในจัดได้สวยงามอลังการมาก

ก่อนจะจบวันนี้ด้วยการไปเดินช้อปปิ้งต่อที่ย่านช้อปปิ้งหลักชื่อดังของเมืองคุมาโมโต้แบบเต็มอิ่มเลยที่ ถนนช้อปปิ้ง Shimotori และ Shinshigai ซึ่งก็อยู่ตรงข้ามกันนั่นเอง

 

 

 

 

วันที่ 4: ชมปราสาท และบรรยากาศย้อนยุค ที่เมือง Kitakyushu

ตื่นแต่เช้าเพื่อออกเดินไปที่เมือง Kitakyushu โดยเริ่มต้นด้วย  พิพิธภัณฑ์ TOTO ที่อาจจะฟังดูแปลก แต่น่าสนใจมาก เพราะเป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับห้องน้ำของญี่ปุ่นที่มีประวัติและนวัตกรรมมากมาย แค่ภายนอกอาคารก็เก๋มากแล้ว จากนั้นก็เปลี่ยนแนวไปเที่ยว ปราสาทโคคุระ (Kokura Castle) กันบ้าง โดยก่อนที่จะเข้าชมตัวหอคอยปราสาท เราได้เข้าร่วม พิธีชงชา ในสวนปราสาทที่เงียบสงบกันก่อน ทำให้รู้ว่าการชงชาไม่ได้ยากอย่างที่คิดและพิธีนั้นก็ไม่จำเป็นต้องซับซ้อนวุ่นวายก็ได้ ขอแค่ให้เป็นไปตามที่เราชอบก็พอแล้วส่วนภายในปราสาทนั้น แม้จะมีขนาดไม่ใหญ่โต แต่ภายในก็มีกิจกรรมแบบ interactive หลากหลายแบบให้เราสัมผัสซึ่งค่อนข้างจะแตกต่างจากหลายๆปราสาทที่เคยไปมา

มื้อเที่ยงของเราในครั้งนี้ คือร้านซูชิ เพราะเมืองนี้อยู่ติดกับทะเลถึง 3 แหล่งทำให้มีอาหารทะเล อุดมสมบูรณ์ คุณภาพดีในราคาไม่แพง ร้านที่เราไปค่อนข้างจะลึกลับซักหน่อย ชื่อว่า Sushi Manryo ซึ่งมื้อกลางวันจะขายเป็นชุด ชุดละ 12 คำ ราคาแค่ 2,800 เยน ส่วนรสชาติไม่ต้องพูดถึง คือดีมาก

หลังจากอิ่มท้องแล้วก็ขับรถยาวๆไปที่เมืองท่าสมัยก่อนที่ยังคงความ Retro เอาไว้อยู่ นั่นคือ  Mojiko Retro District นั่นเอง ย่านนี้เก่าแก่เต็มไปด้วยบรรยากาศที่ชวนให้นึกถึงญี่ปุ่นเมื่อร้อยกว่าปีก่อน เดินเล่นตามร้านกาแฟน่ารักๆ หรือเลือกซื้อของที่ระลึก ก่อนจะนั่ง Mojiko Retro Cruise ชมวิวท่าเรือแบบชิลๆ บริเวณอ่าว ปิดท้ายวันด้วยอาหารเย็นที่ร้าน PLACE IN THE SUN ซึ่งนอกจากจะขายเมนูเด็ดของเมืองนี้ อย่าง ข้าวหน้าแกงกะหี่ย่างชีส(Baked Curry) แล้วยังเป็นจุดชมวิวที่เห็นพระอาทิตย์ตกสวยงามมาก

หลังจากมืดแล้วเราไปชมจุดชมวิวที่สูงที่สุดของย่านนี้ที่ Mojiko Retro Observation room ซึ่งมีบริการเครื่องดื่มให้นั่งชิลก่อนกลับเข้าที่พักกันด้วย

 

 

 

 

วันที่ 5: ชมความสวยงามและความเจริญที่เมือง Fukuoka

เริ่มต้นวันสุดท้ายแต่เช้าด้วยการเดินเล่นริมทะเล ก่อนออกเดินทางกลับเข้าเมืองฟุกุโอกะ แล้วก็ตรงดิ่งไปที่สวน Ohori Park ใน Fukuoka เพื้่อเราจะได้ลองสวม กิโมโน และเดินเล่นในสวนสวยสไตล์ญี่ปุ่นในบรรยากาศที่เงียบสงบและสวยงาม โดยเช่าชุดกิโมโนที่ Mayu no Yakata @Sannomaru Square และไปเดินเล่นที่ Ohori Park Japanese Garden

เสร็จแล้วเราก็แวะไปชมสวนดอกไม้ที่ Fukuoka City Botanical Garden ซึ่งแต่ละช่วงเวลาก็จะมีดอกไม้สวยๆออกดอกไม่เหมือนกัน เมื่อหิวแล้วขับรถต่อไปที่ บริเวณ Fukuoka West Coast เพื่อทานอาหารกลางวันที่ร้าน Itoshima Kaisendo ร้านอาหารทะเลท้องถิ่นในพื้นที่ชายฝั่ง Kitazaki เมนูอาหารข้าวหน้าปลาดิบอร่อยๆ พร้อมวิวแบบสวยสุดๆ และพอออิ่มแล้วก็แวะไป เช่าจักรยาน E-Bike ขี่ชิลๆไปตามถนนเรียบริมชายหาด แบบไม่เร่งรีบ ที่โรงแรม Seven X Seven เลยแวะเข้าไปดูภายในโรงแรมสวยหรูเปิดใหม่นี้ซะเลย วิวสวย บรรยากาศดีมากๆ นอกจากนี้ฝั่งตรงข้ามกันก็ยังมี Palm Beach ที่มีร้านคาเฟ่ให้เลือกนั่งพักชิลๆทานขนม ไอติมกันด้วย

เสร็จแล้วก็กลับเข้าเมืองไปหาของอร่อยแบบท้องถิ่นทานกันต่อ กับร้านสไตล์ยาไต ซึ่งเราได้ข้อมูลมาจาก Fukuoka YATAI Concierge ที่สนามบินแล้วว่ามีโซนยาไตเปิดใหม่บริเวณ Nagahama และได้แนะนำร้านมาให้เราด้วย ซึ่งเมนูที่เราไม่พลาดก็คือ Hakata Ramen แบบผัดแห้ง และเสี่ยวหลงเปายาง ที่หอม อร่อยสุดๆ แบบต้อ งสั่งซ้ำ อิ่มท้องแล้ว ก็ไปหาที่นั่งชมเมืองฟุกุโอกะยามค่ำคืน ด้วยการล่องเรือ Hakata Kawakudari ที่แม่น้ำชมเมืองสองข้างทางยามค่ำคืนแนวใหม่ ก่อนเข้าพักที่โรงแรม THE LIVELY FUKUOKA HAKATA โรงแรมสวยชิคชิล ใจกลางเมือง เป็นอันจบทริปอย่างสวยงาม และเต็มอิ่ม

 

 

 


Exit mobile version