รวม 12 ที่เที่ยว ยอดฮิต สวย ห้ามพลาด ของจังหวัด Shimane 2567
ในประเทศญี่ปุ่นมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจหลายแห่ง แต่ถ้ากำลังมองหาสถานที่ท่องเที่ยวที่เงียบสงบ และยังมีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ จังหวัดชิมาเนะ (Shimane) เป็นอีกแห่งที่น่าสนใจ โดยจังหวัดนี้จะตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของภูมิภาคชูโกกุ (Chugoku) บนเกาะฮอนชู (Honshu) ภายในจังหวัดมีสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลาย ทั้งทางธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม รวมทั้งยังมีอาหารพื้นเมืองน่าลิ้มลอง สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวฮิตที่ไม่ควรพลาด ก็อย่างเช่น 12 แห่งต่อไปนี้ ที่บอกได้เลยว่าลองมาสักครั้งแล้วจะประทับใจไปอีกนาน
1. ปราสาทมัตสึเอะ (Matsue Castle)
Sean Pavone/shutterstock.com
ThanyathornP/shutterstock.com
cdrw/shutterstock.com
ปราสาทมัตสึเอะ (Matsue Castle) เป็นหนึ่งในปราสาทที่สำคัญและเก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1611 โดยไดเมียว ฮอร์ โยชิฮารุ (Horio Yoshiharu) ผู้ปกครองเมืองในสมัยนั้น ปราสาทแห่งนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่ปราสาทที่ยังคงสภาพสมบูรณ์อยู่ตั้งแต่ถูกสร้างขึ้น ไม่ได้ถูกทำลายจากสงครามหรือภัยธรรมชาติ ปราสาทมีโครงสร้างที่ทำมาจากวัสดุไม้ มีความสูง 6 ชั้น และเป็นปราสาทประเภท “บิริโทชิ” (biritochi) หรือปราสาทที่สร้างบนพื้นที่ราบล้อมรอบด้วยคูน้ำ มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ปราสาทนกกระเรียนดำ (Black Crane Castle) เนื่องจากสีของปราสาทที่เป็นสีดำและโครงสร้างที่ตั้งตระหง่านสง่างาม ความโดดเด่นอีกประการของปราสาทมัตสึเอะ ก็คือโครงสร้างที่คงไว้ด้วยสถาปัตยกรรมยุคเซ็นโกคุ (Sengoku) ซึ่งมีลักษณะการสร้างป้อมปราการและกำแพงสูงที่ใช้ในการป้องกันศัตรู ปัจจุบันภายในปราสาทเป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงประวัติศาสตร์ของเมือง และการก่อสร้างปราสาท รวมถึงการจัดแสดงสิ่งของโบราณ เช่น อาวุธ ชุดเกราะ และเครื่องใช้ในสมัยยุคศักดินา การมาเที่ยวปราสาทมัตสึเอะไม่เพียงแค่ได้มาชมความงามของปราสาท และพิพิธภัณฑ์ด้านในเท่านั้น แต่ยังสามารถล่องเรือชมวิวในคูน้ำที่อยู่โดยรอบได้อีกด้วย นอกจากนี้บริเวณรอบปราสาทยังมีสวนที่ออกแบบตกแต่งไว้อย่างสวยงาม โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ผลิสวนแห่งนี้จะเต็มไปด้วยดอกซากุระที่ออกดอกบานสะพรั่ง
พิกัด https://maps.app.goo.gl/hY3DuFsq1YYVC3LN9
2. เหมืองแร่อิวามิกินซัง (Iwami Ginzan Silver Mine)
PhotoNetwork/shutterstock.com
kawamura_lucy/shutterstock.com
Koshiro K/shutterstock.com
เหมืองแร่อิวามิกินซัง (Iwami Ginzan Silver Mine) ในอดีตที่นี่เคยเป็นหนึ่งในเหมืองเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของญี่ปุ่น รวมทั้งในปี 2007 เหมืองแห่งนี้ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก (UNESCO) เพราะมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของญี่ปุ่นและภูมิภาคเอเชียตะวันออกในช่วงศตวรรษที่ 16-17 เหมืองอิวามิกินซังถูกค้นพบในปี ค.ศ.1526 เงินจากเหมืองแห่งนี้มีความสำคัญมากในการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับจีนและยุโรป ส่งผลให้ญี่ปุ่นกลายเป็นหนึ่งในผู้ผลิตแร่เงินที่ใหญ่ที่สุดของโลกในยุคนั้น เหมืองแห่งนี้ดำเนินการมานานหลายร้อยปี จนกระทั่งปิดตัวลงในปี ค.ศ.1923 เนื่องจากเทคโนโลยีและแหล่งแร่เงินเริ่มลดลง ซึ่งถึงแม้ว่าเหมืองแร่จะหยุดการทำงานไปแล้ว แต่สถานที่แห่งนี้ยังคงเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมและเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์การทำเหมืองแร่เงิน โดยภายในจะถูกแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น อุโมงค์เรียวเก็นจิมาบุ (Ryugenji Mabu) อุโมงค์หลักที่มีความยาวประมาณ 600 เมตร และเป็นหนึ่งในอุโมงค์ที่สำคัญที่สุดในการขุดแร่เงิน ภายในจะมีข้อมูลที่บรรยายเกี่ยวกับกระบวนการขุดแร่เงิน และชีวิตของคนงานเหมืองในสมัยนั้น นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์แร่เงินอิวามิ กินซัง (Iwami Ginzan World Heritage Center) ที่จัดแสดงข้อมูลและประวัติความเป็นมาของเหมือง
– พิกัด https://maps.app.goo.gl/XUrd7qJdMsPCnLzeA
3. ศาลเจ้าอิซุโมะไทฉะ (Izumo Taisha Shrine)
beeboys/shutterstock.com
mTaira/shutterstock.com
Nishitap/shutterstock.com
ศาลเจ้าอิซุโมะไทฉะ (Izumo Taisha Shrine) ศาลเจ้าเก่าแก่ที่ถูกขนานนามว่า “ดินแดนแห่งเทพเจ้า” โดยมีตำนานเล่าว่าเทพเจ้าทุกองค์จะมารวมตัวกันที่ศาลเจ้าแห่งนี้ทุกปีในช่วงเดือนสิบตามปฏิทินจันทรคติ ที่นี่ยังจัดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีบทบาทสำคัญต่อศาสนาชินโต รวมทั้งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติแห่งชาติของญี่ปุ่น ในฐานะที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมศาลเจ้าชินโตที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศ ไม่เพียงเท่านั้นภายในศาลเจ้าจะเป็นที่บูชาเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่นามว่า “โอะคุนินุชิ” (Okuninushi) เทพเจ้าแห่งการสร้างโลก ความรักและการจับคู่ จึงมีนักท่องเที่ยวและผู้แสวงบุญจำนวนมากมาขอพรให้พบความรักหรือความสัมพันธ์ที่ดี บางคนมาขอพรให้ความรักยืนยาวและมีความสุข กันอยู่เสมอ นอกจากนี้วิหารของศาลเจ้ายังโดดเด่นด้วยการออกแบบสถาปัตยกรรมที่เรียกว่า “ไทชะซึคุริ” (Taisha-zukuri) ซึ่งเป็นรูปแบบการก่อสร้างศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น โดยมีเสาหลักต้นใหญ่และหลังคาทรงสูงมีลักษณะโค้งที่สร้างจากไม้ฮิโนกิ (ไม้สนไซเปรสสายพันธุ์ญี่ปุ่น) จุดเด่นอีกอย่างของศาลเจ้านี้คือ เชือกชิเมะนะวะ (Shimenawa) ขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น มีความยาว 13 เมตร หนัก 5.2 ตัน ถูกแขวนไว้ตรงประตูทางเข้า เชือกชิเมะนะวะ เป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องสถานที่จากสิ่งไม่ดี และเป็นเครื่องหมายของความศักดิ์สิทธิ์
– พิกัด https://maps.app.goo.gl/c73odJgp2G8N7Lww8
4. พิพิธภัณฑ์ศิลปะอาดาจิ (Adachi Museum of Art)
Takashi Images/shutterstock.com
StevanZZ/shutterstock.com
aiman_zhafransyah/shutterstock.com
พิพิธภัณฑ์ศิลปะอาดาจิ (Adachi Museum of Art) มีชื่อเสียงที่โดดเด่นในด้านศิลปะและการออกแบบสวนญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในปี 1970 โดย เซนโกะ อาดาจิ (Zenko Adachi) ด้วยวิสัยทัศน์ที่ไม่เพียงแค่นำเสนอผลงานศิลปะ แต่ยังรวมถึงการสร้างสรรค์ออกแบบสวนรอบๆ พิพิธภัณฑ์ เพื่อให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสกับความงดงามทั้งศิลปะและธรรมชาติไปพร้อมๆ กัน สำหรับจุดเด่นที่ทำให้พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งนี้มีชื่อเสียงไปทั่วโลกก็คือ สวนญี่ปุ่นที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสวนที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น โดยนิตยสาร The Journal of Japanese Gardening ได้จัดอันดับให้สวนของที่นี่เป็นสวนญี่ปุ่นที่ดีที่สุดติดต่อกันหลายปี ความงดงามของสวนที่ออกแบบอย่างพิถีพิถันทุกมุมมอง ทำให้ผู้มาเยือนสามารถชมความงดงามของธรรมชาติได้ทุกฤดูกาล อย่างไรก็ตามแม้ว่าพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งนี้มีชื่อเสียงจากสวนญี่ปุ่น แต่ภายในพิพิธภัณฑ์ก็ยังมีผลงานศิลปะที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ผลงานที่จัดแสดงส่วนใหญ่เป็นภาพวาดและผลงานศิลปะสมัยใหม่ของศิลปินญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียง เช่น โยโกยามะ ไทกัน (Yokoyama Taikan) และศิลปินคนอื่นๆ ที่มีผลงานโดดเด่นในยุคเมจิ (Meiji) และไทโช (Taisho) นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงผลงานศิลปะเซรามิกและภาพวาดญี่ปุ่นโบราณ (Nihonga) ที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมและความเป็นเอกลักษณ์ของศิลปะญี่ปุ่นให้ได้ชมกันอีกด้วย
– พิกัด https://maps.app.goo.gl/f3VaYBwNRPYnacoF9
5. ทะเลสาบชินจิ (Lake Shinji)
takmat71/shutterstock.com
Yohsuke Ikebuchi/shutterstock.com
M.Masaru/shutterstock.com
ทะเลสาบชินจิ (Lake Shinji) เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 7 ของญี่ปุ่น โดยมีพื้นที่ประมาณ 79.6 ตารางกิโลเมตร และจุดที่ลึกที่สุดอยู่ที่ 6 เมตร รอบบริเวณล้อมรอบไปด้วยภูเขาและป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้ที่นี่มีชื่อเสียงในด้านการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ นอกจากนี้อีกจุดเด่นของทะเลสาบก็คือการชมพระอาทิตย์ตกดิน ที่ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในจุดที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น การเดินทางมาชมพระอาทิตย์ตกที่นี่จึงเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจ ในช่วงนั้นท้องฟ้าจะเปลี่ยนจากสีฟ้าสว่างเป็นสีทองและสีแดงอาบทั่วทั้งขอบฟ้า สีสันเหล่านี้ยังก่อให้เกิดแสงสะท้อนบนผิวน้ำของทะเลสาบ กลายเป็นวิวทิวทัศน์ที่งดงามจับตา สำหรับจุดชมวิวทะเลสาบที่ได้รับความนิยมมากที่สุด จะเป็นบริเวณท่าเรือและชายหาดด้านทิศตะวันตกของทะเลสาบ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมเดินทางไปยังจุดนี้เพื่อเก็บภาพและสัมผัสกับบรรยากาศของธรรมชาติที่สวยงาม และนอกจากวิวทิวทัศน์สวยๆ แล้ว ที่นี่ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การล่องเรือชมวิว, ตกปลา, การปั่นจักรยานรอบทะเลสาบ และ การเดินเล่นชมธรรมชาติ รวมทั้งริมทะเลสาบยังเป็นแหล่งที่อยู่ของชุมชนท้องถิ่นที่มีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมยาวนาน ไม่เพียงเท่านั้นที่นี่ยังมีชื่อเสียงในเรื่องของอาหารพื้นบ้านที่มีรสชาติอร่อยและมีให้เลือกได้หลากหลายอีกด้วย
– พิกัด https://maps.app.goo.gl/FBJjenH9KaTEqsB7A
6. หมู่บ้านซามูไร (Former Samurai Residence)
Alex_Mastro/shutterstock.com
Richie Chan/shutterstock.com
Amehime/shutterstock.com
หมู่บ้านซามูไร (Former Samurai Residence) เป็นเมืองเก่าที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ สร้างขึ้นในยุคเอโดะ (Edo Period) ซึ่งเป็นยุคที่ซามูไรมีบทบาทสำคัญในสังคมญี่ปุ่น การเยี่ยมชมบ้านซามูไรช่วยให้เราได้สัมผัสวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชนชั้นซามูไรในอดีต หมู่บ้านแห่งนี้เคยเป็นเขตที่อยู่อาศัยของซามูไร ในช่วงที่พวกเขาทำงานรับใช้เจ้าเมืองมัตสึเอะ (Matsue Castle) บ้านแต่ละหลังถูกสร้างขึ้นด้วยไม้ และมีลักษณะเฉพาะที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตของซามูไรในช่วงนั้นได้เป็นอย่างดี สำหรับบ้านที่ได้รับความสนใจมากที่สุดจะเป็น มัตสึเอะ บูเกะยาชิกิ (Matsue Buke Yashiki) ซึ่งเป็นบ้านของตระกูลซามูไรระดับกลาง บ้านหลังนี้ได้รับการบูรณะเพื่อคงความเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิม ทั้งในด้านสถาปัตยกรรมและการตกแต่งภายใน ผู้เยี่ยมชมสามารถเดินชมภายในบ้านมีการออกแบบอย่างเรียบง่าย มีเครื่องเรือน รวมถึงสิ่งของที่ซามูไรใช้ในชีวิตประจำวัน ที่สะท้อนได้ถึงวิถีชีวิตที่รักความสงบ ความเรียบง่าย และมีระเบียบวินัย โดยบ้านส่วนใหญ่จะมีห้องทาทามิ (Tatami) ที่ปูด้วยเสื่อญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม รวมทั้งห้องรับรองแขก ห้องทำงาน และห้องนอน นอกจากนี้รอบบริเวณยังมีสวนญี่ปุ่นเล็กๆ ที่ถูกออกแบบอย่างพิถีพิถัน สวนเหล่านี้ถูกดูแลรักษาไว้อย่างดี ทำให้ผู้เยี่ยมชมสามารถสัมผัสกับบรรยากาศที่เงียบสงบและสวยงาม ตามแบบฉบับดั้งเดิมของญี่ปุ่นในยุคโบราณ
– พิกัด https://maps.app.goo.gl/oopv47YrRY9P5BFh6
7. สวนยูชิเอ็น (Yuushien Garden)
M Moniruzzaman/shutterstock.com
Carla Silene/shutterstock.com
Carla Silene/shutterstock.com
สวนยูชิเอ็น (Yuushien Garden) สวนสวยสไตล์ญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม ที่เป็นที่รู้จักกันดีในด้านความสวยงามของการออกแบบสวนและการจัดแสดงดอกไม้ตามฤดูกาล โดยเฉพาะดอกโบตั๋น (Peony) ที่จัดเป็นสัญลักษณ์ของสวนยูชิเอ็น ดอกโบตั๋นภายในสวนแห่งนี้จะบานสะพรั่งงดงามตลอดทั้งปี ทั้งในฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ร่วง และในช่วงฤดูหนาว สวนแห่งนี้ยังชื่อเสียงในฐานะศูนย์กลางการจัดแสดงดอกโบตั๋นที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น โดยในช่วงฤดูใบไม้ผลิเราจะได้ชมดอกโบตั๋นที่ปลูกอยู่กลางแจ้ง ส่วนในช่วงฤดูหนาวจะเป็นดอกโบตั๋นที่ปลูกอยู่ในเรือนกระจก นอกจากนี้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิประมาณปลายเดือนเมษายนถึงกลางเดือนพฤษภาคม ภายในสวนจะมีการจัดงานเทศกาลดอกโบตั๋น (Peony Festival) ซึ่งจัดเป็นกิจกรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดของสวนยูชิเอ็น ในช่วงนั้นดอกโบตั๋นหลายพันดอกจะบานสะพรั่ง ทำให้สวนเต็มไปด้วยสีสันสดใส ภายในงานยังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง เช่น การแสดงดนตรีพื้นบ้าน และการชิมอาหารท้องถิ่น สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะเดินทางมาท่องเที่ยวที่นี่มากที่สุดจะเป็นในช่วงฤดูใบไม้ผลิต แต่ถึงแม้ว่าในฤดูหนาวอากาศจะหนาวเย็น แต่สวนยูชิเอ็นยังคงมีความงดงาม โดยเฉพาะการจัดแสดงดอกโบตั๋นในเรือนกระจก รวมทั้งยังมีการจัดแสดงไฟในสวนที่ช่วยสร้างบรรยากาศโรแมนติกในยามค่ำคืนอีกด้วย
– พิกัด https://maps.app.goo.gl/Nrj9tvEoTG1xKWNo7
8. เมืองสึวาโนะ (Tsuwano City)
Yangxiong/shutterstock.com
Yangxiong/shutterstock.com
Yangxiong/shutterstock.com
เมืองสึวาโนะ (Tsuwano City) เมืองเล็กๆ ที่มักถูกเรียกว่าลิตเติ้ลเกียวโต (Little Kyoto) เนื่องจากลักษณะของเมืองที่ยังคงอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและบรรยากาศในยุคโบราณไว้ได้เป็นอย่างดี ที่นี่จึงจัดเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม และยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีเสน่ห์ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสบรรยากาศของญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม ที่ไม่ถูกกระทบจากการพัฒนาเมืองมากนัก ซึวะโนะเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานย้อนหลังไปถึงยุคเอโดะ (Edo Period) ซึ่งในช่วงเวลานั้นเมืองนี้เป็นฐานที่มั่นของซามูไรท้องถิ่น ภายในเมืองเคยมีปราสาทที่สำคัญมาก่อน แม้ปราสาทจะถูกทำลายไปแล้ว แต่ร่องรอยประวัติศาสตร์ยังคงอยู่ให้เห็นตามถนนสายเก่าและบริเวณรอบๆ เมือง นอกจากนี้ ซึวะโนะยังเป็นเมืองที่มีบทบาทในการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในญี่ปุ่น ช่วงศตวรรษที่ 19 ซามูไรบางกลุ่มที่นับถือศาสนาคริสต์ถูกบังคับให้ย้ายมาอยู่ที่นี่ ทำให้ภายในเมืองมีสถานที่สำคัญทางศาสนาคริสต์ที่น่าสนใจ เช่น โบสถ์โอโทเมะ (Otome Church) ที่เป็นเครื่องเตือนถึงปัญหาของคริสตชนในสมัยนั้น รวมทั้งภายในเมืองยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายแห่ง เช่น ศาลเจ้าไทโคดานิ อินาริ (Taikodani Inari Shrine), ปราสาทซึวะโนะ (Tsuwano Castle Ruins), ถนนสายเก่าซึวะโนะ (Tonomachi Street) และ โบสถ์โอโทเมะ (Otome Church) เป็นต้น
– พิกัด https://maps.app.goo.gl/ZKK8Az4DhAAmYLHs8
9. ประภาคารฮิโนมิซากิ (Hinomisaki Lighthouse)
mTaira/shutterstock.com
setsuna0410/shutterstock.com
Musashi2001/shutterstock.com
ประภาคารฮิโนมิซากิ (Hinomisaki Lighthouse) ตั้งอยู่ปลายสุดของแหลมฮิโนมิซากิ ในเมืองอิซุโมะ (Izumo) ประภาคารแห่งนี้เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของเมือง และเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญทั้งในด้านการเดินเรือและการท่องเที่ยว ประภาคารสร้างขึ้นในปี 1903 เพื่อช่วยนำทางเรือในทะเลญี่ปุ่น และป้องกันการเกิดอุบัติเหตุทางทะเล ด้วยความสูง 43.65 เมตร ทำให้ประภาคารแห่งนี้เป็นประภาคารที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นที่สร้างมาจากหิน และยังเป็นหนึ่งในประภาคารที่สูงที่สุดในเอเชียตะวันออก ความสูงรวมจากฐานถึงยอดไฟประภาคารอยู่ที่ประมาณ 63 เมตรจากระดับน้ำทะเล ซึ่งช่วยให้แสงไฟจากประภาคารสามารถมองเห็นได้ไกลถึง 35 กิโลเมตร นอกจากบทบาทที่สำคัญในการเดินเรือแล้ว ประภาคารฮิโนมิซากิยังมีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น ซึ่งผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีตะวันตกกับการก่อสร้างแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น การออกแบบประภาคารนี้ใช้เทคนิคการสร้างที่แข็งแรงทนทาน ต่อแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวและพายุไต้ฝุ่น จึงทำให้ประภาคารตั้งตระหง่านและคงทนถาวรมานานนับศตวรรษ หนึ่งในเหตุผลที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเยือนประภาคารฮิโนมิซากิคือการชมวิวทะเลที่งดงาม จากด้านบนของประภาคารสามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่กว้างไกลของทะเลญี่ปุ่นและชายฝั่งได้แบบ 360 องศา นอกจากนี้บริเวณรอบประภาคารยังเป็นสถานที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนและสำรวจธรรมชาติ นักท่องเที่ยวสามารถเดินเล่นตามเส้นทางริมชายฝั่งที่เต็มไปด้วยโขดหินและทิวทัศน์ที่สวยงาม รวมทั้งที่นี่ยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่มีทัศนียภาพงดงามและโรแมนติกไม่แพ้ที่ใดเช่นกัน
– พิกัด https://maps.app.goo.gl/MHcoVGFATumrh99z5
10. หมู่เกาะโอกิ (Oki Islands)
CHOCOMAMA/shutterstock.com
Little Panda2016/shutterstock.com
Little Panda2016/shutterstock.com
หมู่เกาะโอกิ (Oki Islands) ห่างจากชายฝั่งของจังหวัดชิมะเนะ (Shimane) ไปประมาณ 50 กิโลเมตร หมู่เกาะแห่งนี้ประกอบด้วยเกาะใหญ่ 4 เกาะ ได้แก่ โดโกะ (Dogo), นิชิโนะชิมะ (Nishinoshima), นากะ (Naka), และชิรามะ (Chiburijima) รวมถึงเกาะเล็กๆ อีกหลายแห่ง หมู่เกาะโอกิเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานธรณีโลกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนโดย UNESCO เนื่องจากมีภูมิประเทศที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟและการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก ส่งผลให้มีหน้าผาหินสูงชัน หาดทรายสีขาว และน้ำทะเลสีฟ้าใส นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของป่าไม้เขียวขจีและทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ จึงเหมาะมากสำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น การเดินป่า ปีนเขา และการสำรวจธรรมชาติ รวมไปถึงการชมวิวทิวทัศน์ โดยหนึ่งในจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ โคะนันซากิ (Kuniga Coast) ที่ตั้งอยู่บนเกาะนิชิโนะชิมะ ที่นี่มีหน้าผาหินสูงชันทอดตัวลงสู่ทะเล ทำให้เกิดภาพทิวทัศน์ที่สวยงามแปลกตา นักท่องเที่ยวสามารถเดินเล่นตามเส้นทางเดินริมหาดและชมวิวทะเลจากมุมสูงได้กว้างไกลสุดสายตา นอกจากนี้ หมู่เกาะโอกิยังมีวัฒนธรรมท้องถิ่นที่น่าสนใจ เช่น เทศกาลการเต้นกระทบไม้ (Oki Traditional Log Rafting) ซึ่งเป็นเทศกาลท้องถิ่นที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองประเพณีการต่อเรือของชาวเกาะ เทศกาลนี้มักจะจัดขึ้นในช่วงฤดูร้อน ภายในงานจะมีการแสดงดนตรี การเต้นรำที่เต็มไปด้วยสีสันและความสนุกสนาน
– การเดินทาง ขึ้นเรือเฟอร์รี่จากท่าเรือซากาอิมินาโตะ (Sakaiminato) หรือท่าเรือชินามิ (Shinami Port) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2-3 ชั่วโมง หรือใช้บริการเครื่องบินจากสนามบินอิซุโมะ (Izumo Airport) ใช้เวลาบินเพียง 30 นาที
– ที่ตั้ง Oki Islands (Saigo Port Ferry Terminal) Menukino 4-58 Nakamachi, Okinoshima, Oki District, Shimane 685-0013, Japan
– เวลาเปิดทำการ สามารถเดินทางมาเที่ยวชมได้ทุกวัน
– ค่าเข้าชม ไม่มีค่าบริการในการเข้าชม
– เว็บไซต์ www.oki-geopark.jp/en/
– Facebook www.facebook.com/OkiIslandsGlobalGeopark
– พิกัด https://maps.app.goo.gl/R3Umk71FYPiwGNiBA
11. ทามะซึคุริ ออนเซ็น (Tamatsukuri Onsen)
Carla Silene/shutterstock.com
Carla Silene/shutterstock.com
kai keisuke/shutterstock.com
ทามะซึคุริ ออนเซ็น (Tamatsukuri Onsen) เป็นแหล่งน้ำพุร้อนเก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดในจังหวัดชิมะเนะ (Shimane) ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองมัตสึเอะ (Matsue) และทะเลสาบชินจิ (Lake Shinji) น้ำพุร้อนของทามัตสึคุริมีประวัติยาวนานกว่า 1,300 ปี โดยมีความเชื่อว่าเป็นน้ำพุร้อนที่ให้พลังในการบำรุงร่างกายและจิตใจ รวมถึงช่วยเสริมความงามและสุขภาพ ที่นี่ยังถูกกล่าวถึงในตำนานเก่าแก่ของญี่ปุ่นด้วยว่า เป็นแหล่งน้ำพุร้อนที่เทพเจ้าและจักรพรรดิเลือกใช้ เพื่อรักษาร่างกายและเพิ่มพูนพลังอำนาจ น้ำพุร้อนแห่งนี้มีส่วนผสมของแร่ธาตุที่ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เนียนนุ่ม ทำให้ทามัตสึคุริออนเซ็นเป็นที่รู้จักในฐานะ “น้ำพุร้อนแห่งความงาม” (Onsen of Beauty) และเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวที่ต้องการผ่อนคลายและฟื้นฟูร่างกาย ดังนั้นหากมีโอกาสเดินทางมาที่นี่สิ่งที่เราไม่ควรพลาดก็คือ การแช่น้ำพุร้อนกลางแจ้ง (Open-air Onsen) โดยที่นี่มีเรียวกังและโรงแรมหลายแห่งที่ให้บริการออนเซ็นส่วนตัวและสาธารณะ นักท่องเที่ยวสามารถเพลิดเพลินกับการแช่น้ำพุร้อนท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ร่วงที่สามารถชมใบไม้เปลี่ยนสีไปพร้อมๆ กับการแช่น้ำ นอกจากนี้ยังมีสถานที่ที่น่าสนใจหลายแห่ง เช่น หินทามะ-โนะ-อิชิ (Tama-no-Ishi Stone) ตั้งอยู่ใกล้กับแม่น้ำทามัตสึคุริ มีความเชื่อว่าหากผู้คนได้ลูบหินนี้จะได้รับพลังแห่งการบำรุงรักษาและโชคลาภ หรือที่สะพานหินแดง (Red Stone Bridge) สะพานข้ามแม่น้ำทามัตสึคุริ ซึ่งเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยม ที่นี่มีบรรยากาศเงียบสงบและวิวทิวทัศน์งดงาม
– พิกัด https://maps.app.goo.gl/T3svSejKSXXUhszj9
12. หาดอินะสะ (Inasa Beach)
Little Panda2016/shutterstock.com
Spyan/shutterstock.com
M Andy/shutterstock.com
หาดอินะสะ (Inasa Beach) ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเมืองอิซุโมะ (Izumo) เป็นหาดทรายสีขาวที่ทอดยาวไปตามชายฝั่งทะเลญี่ปุ่น น้ำทะเลใสสะอาดและมีวิวทิวทัศน์สวยงาม โดยเฉพาะในช่วงพระอาทิตย์ตกดินบริเวณนี้จะมีทัศนียภาพที่งดงามเป็นอย่างมาก จนกลายเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ที่นี่ไม่เพียงแต่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับตำนานและเทพนิยายของญี่ปุ่นอีกด้วย โดยตามความเชื่อพื้นบ้านญี่ปุ่น หาดแห่งนี้เป็นสถานที่ที่เทพเจ้าโอกุนินุชิ (Okuninushi) ได้ต้อนรับเทพเจ้าจากทั่วญี่ปุ่นในพิธีมอบแผ่นดินให้เทพเจ้าอะเมะโนะมิคะโตะ (Amaterasu) เทพเจ้าผู้ปกครองท้องฟ้า จึงมีความเชื่อว่าหาดแห่งนี้เป็นที่รวมพลังของเทพเจ้า ซึ่งทำให้หาดอินาสะกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาชินโต หนึ่งในสัญลักษณ์ที่สำคัญของหาดก็คือ โขดหินบันไซซึกะ (Bentenjima Rock) โขดหินนี้ตั้งอยู่ริมชายหาดและมีศาลเจ้าขนาดเล็กอยู่ด้านบน ศาลเจ้านี้เป็นที่สักการะของเทพเจ้าด้านทะเลและการประมง นักท่องเที่ยวมักจะมาที่นี่เพื่อขอพรด้านโชคลาภ ความมั่งคั่ง และการเดินทางปลอดภัยอยู่เสมอ นอกจากนี้ทุกปีในเดือนตุลาคม หาดอินาสะจะเป็นสถานที่จัดงาน เทศกาลคามิมูไคเอะไซ (Kamimukae-sai Festival) ซึ่งเป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อเป็นการต้อนรับเทพเจ้าทั่วญี่ปุ่นมารวมตัวกันที่ศาลเจ้าอิซุโมะไทฉะ ในพิธีจะมีการจุดไฟจากคบเพลิงและขบวนแห่ที่งดงามไปตามชายหาด
– พิกัด https://maps.app.goo.gl/cr4KY3MJCi82Nj6G8