แนะนำ โรงแรมที่พัก โตเกียว ญี่ปุ่น อัพเดตล่าสุด

รวม 12 ที่เที่ยว สวย ฮิต น่าไปของจังหวัด Yamaguchi 2567

top-places-yamaguchi


อัพเดตล่าสุดเมื่อ 28 พฤศจิกายน 2567

 

จังหวัดยามากุจิ (Yamaguchi) ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้สุดของเกาะฮอนชู เกาะหลักของญี่ปุ่น ทำให้เป็นจุดเชื่อมต่อไปยังเกาะคิวชูด้วย เป็นจุดหมายปลายทางที่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่น รวมทั้งชมความงามของธรรมชาติ และชิมอาหารอร่อย เพราะที่นี่นอกจากถูกโอบล้อมด้วยทะเล ในอดีตเคยเป็นฐานที่มั่นของตระกูลซามูไรที่ทรงอำนาจในช่วงยุคเซนโกคุ จนถูกเรียกว่า “เกียวโตแห่งตะวันตก” มาถึงตรงนี้หลายคนน่าจะเริ่มสนใจกันบ้างแล้ว คราวนี้ตามไปดูกันต่อดีกว่าว่าที่นี่มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรน่าสนใจบ้าง

 

 

 

1. สะพานคินไทเคียว (Kintaikyo Bridge)

Spyan/shutterstock.com

f11photo/shutterstock.com

gnoparus/shutterstock.com

สะพานคินไทเคียว (Kintaikyo Bridge) สะพานไม้ที่สวยงามและมีชื่อเสียงมากที่สุดในญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในเมืองอิวาคุนิ (Iwakuni) สะพานมีความยาว 193.3 เมตร ทอดข้ามแม่น้ำนิชิกิ (Nishiki River) ที่รอบบริเวณมีวิวทิวทัศน์งดงาม ทำให้สะพานแห่งหนึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่ต้องไปเยือนหากเดินทางมายังจังหวัดยามากุจิ สะพานคินไตเคียวถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1673 ในยุคเอโดะ โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้เป็นทางเชื่อมระหว่างพื้นที่ในเมืองและปราสาทอิวาคุนิ (Iwakuni Castle) ซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาใกล้เคียง ความโดดเด่นของสะพานคือการออกแบบที่ใช้วิธีการประกอบไม้แบบพิเศษ โดยไม่ใช้ตะปู ซึ่งเป็นการออกแบบที่ไม่เพียงแค่สวยงาม แต่ยังคงทนต่อสภาพอากาศที่แปรปรวนและน้ำท่วม สะพานคินไตเคียวได้รับการบูรณะและซ่อมแซมหลายครั้งเพื่อรักษาความงดงาม และความแข็งแรงของโครงสร้างให้คงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน สิ่งที่ทำให้สะพานคินไตเคียวโดดเด่นเป็นพิเศษ ก็คือการออกแบบความโค้งของสะพานเป็น 5 ช่วงที่มีความสมดุลและสวยงาม การเดินข้ามสะพานจะทำให้เรารู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปยังยุคโบราณ ขณะเดียวกันก็สามารถชมวิวแม่น้ำนิชิกิและธรรมชาติรอบไปพร้อมๆ กัน ไม่เพียงเท่านั้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิ สะพานแห่งนี้จะกลายเป็นจุดชมดอกซากุระที่สวยงาม เนื่องจากมีต้นซากุระปลูกเรียงรายตลอดสองฝั่งแม่น้ำ ทำให้สะพานและทิวทัศน์รอบๆ มีทัศนียภาพที่งดงามจับตา

พิกัด https://maps.app.goo.gl/8F3vN1ErMCrnmxf69

 

 

 

 

2. ศาลเจ้าโฮฟุเทนมังกุ (Hofu Tenmangu Shrine)

mTaira/shutterstock.com

mTaira/shutterstock.com

Emi Leung/shutterstock.com

ศาลเจ้าโฮฟุเทนมังกุ (Hofu Tenmangu Shrine) เป็นหนึ่งในศาลเจ้าสายเทนมังกุที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น มีประวัติยาวนานกว่า 1,000 ปี โดยก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 904 ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในศาลเจ้าที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ สึกาวาระ โนะ มิจิซาเนะ นักปราชญ์และขุนนางที่มีความสามารถโดดเด่นในยุคเฮอัน (Heian) แต่ถูกเนรเทศไปยังเกาะคิวชู (Kyushu) หลังจากเสียชีวิตลง เขาได้รับการยกย่องให้เป็นเทพเจ้าแห่งการศึกษา และหลายศาลเจ้าทั่วญี่ปุ่นก็สร้างขึ้นเพื่อบูชาเขา ปัจจุบันศาลเจ้าโฮฟุ เท็มมังกู ยังคงเป็นที่เคารพสักการะของนักเรียน นักวิชาการ และผู้ที่แสวงหาความรู้จากทั่วญี่ปุ่น โดยเฉพาะในช่วงสอบเข้าโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ผู้คนมักมาขอพรที่นี่เพื่อให้ประสบความสำเร็จในการศึกษา ศาลเจ้าแห่งนี้ตั้งอยู่บนภูเขาขนาดเล็กที่มีบรรยากาศเงียบสงบ รายล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่และธรรมชาติที่งดงาม เมื่อเข้าสู่บริเวณศาลเจ้า นักท่องเที่ยวจะได้เห็นเสาโทริอิสีแดงขนาดใหญ่ที่เป็นสัญลักษณ์ของทางเข้าสู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ภายในศาลเจ้ามีอาคารหลักที่สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น ที่มีความงดงาม นอกจากนี้ในระหว่างทางเดินไปยังศาลหลัก นักท่องเที่ยวยังสามารถเพลิดเพลินกับวิวทิวทัศน์ของเมืองโฮฟุ (Hofu City) ได้อีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้นที่นี่ยังเป็นสถานที่จัดงานเทศกาลและกิจกรรมที่น่าสนใจตลอดทั้งปี โดยเฉพาะเทศกาลที่เกี่ยวข้องกับการบูชาเทพเจ้าแห่งการศึกษา ไม่ว่าจะเป็น เทศกาลอุเมะ (Ume Festival)หรือเทศกาลดอกบ๊วย, เทศกาลฤดูร้อน (Summer Festival)และ เทศกาลปีใหม่ (New Year’s Festival) เป็นต้น

พิกัด https://maps.app.goo.gl/bmSgACRLezHZQJb48

 

 

 

3. ปราสาทอิวาคุนิ (Iwakuni Castle)

Shawn.ccf/shutterstock.com

Cavan-Images/shutterstock.com

hayakato/shutterstock.com

ปราสาทอิวาคุนิ (Iwakuni Castle) ตั้งอยู่บนยอดเขาชิโรยามะ (Shiroyama) ปราสาทแห่งนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนาน และมีวิวทิวทัศน์ที่งดงาม จากปราสาทเราสามารถมองเห็นแม่น้ำนิชิกิ (Nishiki River) และสะพานคินไตเคียว (Kintaikyo Bridge) ที่มีชื่อเสียงได้อย่างชัดเจน ปราสาทอิวาคุนิถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1608 โดยคิคคาวะ ฮิโรอิเอะ (Kikkawa Hiroie) ผู้ปกครองแคว้นอิวาคุนิในยุคเอโดะ (Edo) อย่างไรก็ตาม ปราสาทถูกทำลายลงหลังจากถูกสั่งให้รื้อถอนในปี ค.ศ. 1615 โดยคำสั่งของรัฐบาลตามนโยบายการจำกัดจำนวนปราสาทในแต่ละพื้นที่ ต่อมาในปี ค.ศ. 1962 ปราสาทอิวาคุนิได้รับการสร้างขึ้นใหม่บนตำแหน่งเดิม โดยโครงสร้างที่เห็นในปัจจุบันเป็นปราสาทสี่ชั้นที่ออกแบบตามแบบฉบับสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นโบราณ รวมทั้งได้มีการปรับปรุงภายในให้เป็นพิพิธภัณฑ์ เพื่อจัดแสดงประวัติศาสตร์และโบราณวัตถุที่เกี่ยวข้องกับปราสาทและภูมิภาคอิวาคุนิ เช่น อาวุธ ชุดเกราะซามูไร ของใช้ในยุคโบราณ และภาพถ่ายที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของปราสาทและตระกูลคิคคาวะ นอกจากนี้บริเวณด้านบนของปราสาทยังเป็นจุดชมวิวที่น่าสนใจ เพราะสามารถมองเห็น วิวที่สวยงามของแม่น้ำนิชิกิ สะพานคินไตเคียว และภูเขาโดยรอบ โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ผลิเมื่อดอกซากุระบานสะพรั่ง ทัศนียภาพที่มองจากปราสาทจะเต็มไปด้วยสีสันสดใสและงดงาม

พิกัด https://maps.app.goo.gl/PgTXt6padyVS2eEu7

 

 

 

4. ถ้ำอากิโยชิโด (Akiyoshido Cave)

Spyan/shutterstock.com

beeboys/shutterstock.com

beeboys/shutterstock.com

ถ้ำอากิโยชิโด (Akiyoshido Cave) เป็นถ้ำหินปูนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในอุทยานธรรมชาติอากิโยชิได (Akiyoshidai Quasi-National Park) ถ้ำแห่งนี้เป็นหนึ่งในถ้ำที่มีขนาดใหญ่และสวยงามที่สุดในญี่ปุ่น และยังเป็นหนึ่งในถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชียอีกด้วย ที่นี่นักท่องเที่ยวที่มาเยือนจะได้สัมผัสกับความงดงามของธรรมชาติ และได้สำรวจภายในถ้ำที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ของธรณีวิทยา ถ้ำอากิโยชิโดมีความยาวประมาณ 10 กิโลเมตร แต่เปิดให้เข้าชมเพียง 1 กิโลเมตร ภายในถ้ำมีอุณหภูมิคงที่ประมาณ 17 องศาเซลเซียสตลอดทั้งปี ทำให้เหมาะสำหรับการเที่ยวชมทุกฤดูกาล สำหรับจุดเด่นของถ้ำก็คือการก่อตัวของหินปูนที่มีรูปทรงแปลกตาและหลากหลาย ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการทางธรรมชาติเป็นเวลานานหลายล้านปี ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อยมากมาย ที่เกิดจากการสะสมของแร่ธาตุ จากน้ำที่ไหลผ่านนับพันปี หินเหล่านี้มีรูปร่างและขนาดที่หลากหลาย บางจุดมีความยาวหลายเมตร ซึ่งเป็นจุดที่ดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก และอีกหนึ่งในไฮไลต์ของถ้ำก็คือ “สระน้ำหินธรรมชาติ” (Terraced Limestone Pools) ซึ่งเป็นสระน้ำเล็กๆ หลายสิบชั้น ที่เรียงตัวกันอย่างสวยงามและมีน้ำใสบริสุทธิ์ ทำให้เกิดทิวทัศน์ที่น่าทึ่งและชวนตื่นตาตื่นใจ ไม่เพียงเท่านั้น บริเวณหนึ่งของถ้ำมีหินที่มีรูปร่างเหมือนกับเกล็ดมังกร เรียกกันว่า “กำแพงมังกร” ซึ่งเป็นอีกจุดหนึ่งที่มีความงดงามและน่าทึ่งไปพร้อมๆ กัน

พิกัด https://maps.app.goo.gl/isNQmNq9Cjowi7Ge6

 

 

 

5. สะพานสึโนะชิมะ (Tsunoshima Bridge)

hasetetsu/shutterstock.com

Samuel Yeo/shutterstock.com

beeboys/shutterstock.com

สะพานสึโนะชิมะ (Tsunoshima Bridge) เชื่อมระหว่างเกาะสึโนะชิมะ (Tsunoshima Island) และแผ่นดินใหญ่ในเมืองชิโมโนเซกิ (Shimonoseki) สะพานแห่งนี้จัดเป็นสะพานที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น ด้วยทัศนียภาพที่สวยงามโดยรอบ และตัวสะพานที่มีการออกแบบอย่างทันสมัยที่เน้นความเรียบง่ายแต่สง่างาม ทำให้สะพานแห่งนี้กลายเป็นจุดถ่ายภาพยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและต่างชาติ สะพานสึโนะชิมะมีความยาวประมาณ 1,780 เมตร เป็นเส้นทางที่โค้งตัวทอดตัวยาวไปตามแนวทะเลสีฟ้าสดใส นักท่องเที่ยวสามารถขับรถผ่านสะพาน หรือแวะจอดเพื่อถ่ายภาพวิวทะเลที่งดงามได้ตลอดเส้นทาง สำหรับสิ่งที่ทำให้สะพานสึโนะชิมะเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ก็คือวิวทิวทัศน์ของทะเลญี่ปุ่นที่ล้อมรอบสะพาน โดยเฉพาะในวันที่ฟ้าเปิด น้ำทะเลจะมีสีฟ้าครามใสสะอาด สะท้อนกับท้องฟ้าสีฟ้าสดใส สร้างบรรยากาศที่เงียบสงบและงดงาม นอกจากนี้ยังมีแนวชายหาดและเนินเขาที่สวยงามรอบๆ ทำให้การขับรถหรือเดินเล่นบนสะพานเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจ หลังจากเดินทางผ่านสะพานสึโนะชิมะ นักท่องเที่ยวจะได้เข้าสู่เกาะสึโนะชิมะ ซึ่งเป็นเกาะขนาดเล็กที่มีความสวยงามและเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสกับธรรมชาติ บนเกาะนี้มีหาดทรายขาวสะอาด น้ำทะเลใสบริสุทธิ์ และสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง เช่น ประภาคารสึโนะชิมะ (Tsunoshima Lighthouse) ซึ่งเป็นประภาคารเก่าแก่และยังคงใช้งานอยู่ในปัจจุบัน ไม่เพียงเท่านั้นสะพานแห่งนี้ยังได้รับการโหวตจากนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นและต่างชาติ ให้เป็นสะพานที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น ผ่านทางเว็บไซต์ Trip Adviser อีกด้วย

พิกัด https://maps.app.goo.gl/nuSTsKX1DktvJ8bK7

 

 

 

6. วัดรูริโคจิ (Rurikoji Temple)

Kazuki Yamakawa/shutterstock.com

Spyan/shutterstock.com

mTaira/shutterstock.com

วัดรูริโคจิ (Rurikoji Temple) สร้างขึ้นในปี 1442 โดยโมริ โมโตโนริ (Mori Motonori) นักรบผู้มีอิทธิพลในยุคเซ็นโกคุ วัดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแก่โชกุนโอยามะ โยชิฮิโร (Ouchi Yoshihiro) เจ้านายของเขาที่เสียชีวิตในการรบ ที่นี่ยังถือเป็นศูนย์กลางทางศาสนาและวัฒนธรรมของเมืองยามากุจิในยุคนั้นอีกด้วย สำหรับจุดเด่นสำคัญของวัดก็คือ เจดีย์ห้าชั้นซึ่งเป็นหนึ่งในเจดีย์ห้าชั้นที่สวยงามและเก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น เจดีย์มีความสูงประมาณ 31 เมตร ออกแบบตามสถาปัตยกรรมยุคมุโรมาจิ (Muromachi Period) ที่ผสมผสานความงดงามแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น เจดีย์แห่งนี้ยังได้รับการยกย่องให้เป็น สมบัติแห่งชาติญี่ปุ่น เนื่องจากเป็นตัวอย่างที่งดงามของสถาปัตยกรรมยุคโบราณ ที่ยังคงสภาพดีแม้จะผ่านมากว่า 600 ปีแล้วก็ตาม นอกจากนี้วัดยังตั้งอยู่ในสวนโคซัน (Kozan Park) ซึ่งเป็นสวนที่มีความงดงามและได้รับการดูแลอย่างดี ภายในสวนมีทางเดินที่ปูด้วยหินและต้นไม้ใหญ่ที่สร้างร่มเงาและบรรยากาศร่มรื่น ซึ่งถ้าหากเดินทางมาเยือนในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ดอกซากุระภายในสวนจะออกดอกเบ่งบานไปรอบบริเวณ หรือหากเป็นฤดูใบไม้ร่วงใบไม้จะเปลี่ยนสีเป็นสีส้ม แดง และเหลือง บอกได้เลยว่าเป็นทัศนียภาพที่สวยงามจับตาไม่แพ้กัน

พิกัด https://maps.app.goo.gl/bPLQ2FA5edLzkrgm6

 

 

 

7. เมืองฮากิ (Hagi Castle Town)

Sean Pavone/shutterstock.com

Musashi2001/shutterstock.com

mTaira/shutterstock.com

เมืองฮากิ (Hagi Castle Town) เมืองเก่าที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงปี 1604 หลังจากที่ท่านไดเมียว โมริ เทรุโมโตะ (Mori Terumoto) สร้างปราสาทฮางิ (Hagi Castle) เพื่อเป็นศูนย์กลางทางการปกครองและเศรษฐกิจของตระกูลโมริ เมืองนี้เคยเป็นเมืองหลวงของเขตการปกครองฮางิ และเป็นศูนย์กลางที่สำคัญในยุคเอโดะ ด้วยความที่เมืองถูกสร้างขึ้นโดยมีการวางผังเมืองอย่างเป็นระเบียบ และยังคงสภาพเดิมไว้จนถึงปัจจุบัน ทำให้การเยี่ยมชมเมืองฮางิจะพานักท่องเที่ยวเดินทางย้อนเวลา ไปสัมผัสกับบรรยากาศของญี่ปุ่นในยุคโบราณ บ้านเรือนภายในเมืองยังสร้างมาจากไม้และดินตามแบบสถาปัตยกรรมดั้งเดิม และตั้งเรียงรายไปตามถนนที่ปูด้วยหิน ที่แสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของยุคเอโดะได้อย่างชัดเจน ภายในเมืองมีจุดที่น่าสนใจหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น ซากปราสาทฮางิ (Hagi Castle Ruins) ปราสาทที่เคยเป็นศูนย์กลางของเมืองในสมัยเอโดะ ปัจจุบันเหลือเพียงแค่ฐานปราสาทและกำแพงหิน หรือย่านบ้านซามูไร (Samurai District) บ้านทุกหลังถูกอนุรักษ์ไว้อย่างดี และบางหลังยังเปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้ นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงวัตถุโบราณและข้าวของเครื่องใช้ของซามูไร อีกสถานที่หนึ่งที่ไม่ควรพลาดก็คือ ถนนโบราณอิวะมิ (Iwami Ginzan) ถนนสายนี้เคยเป็นเส้นทางการค้าที่สำคัญระหว่างเมืองฮางิและเหมืองแร่เงินอิวะมิ ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรที่สำคัญในยุคนั้น ถนนปูด้วยหินและเรียงรายด้วยบ้านโบราณทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ที่เหมาะมากสำหรับการเดินเล่นและถ่ายภาพ

พิกัด https://maps.app.goo.gl/9tpWpwqihNFv4q3W6

 

 

 

8. ศาลเจ้าโมโตโนสุมิ อินาริ (Motonosumi Inari)

dar44/shutterstock.com

nakamura7/shutterstock.com

nakamura7/shutterstock.com

ศาลเจ้าโมโตโนสุมิ อินาริ (Motonosumi Inari) ตั้งอยู่บนหน้าผาริมทะเลในเมืองนากาโตะ (Nagato) ซึ่งทำให้วิวที่นี่มีความสวยงามไม่เหมือนใคร จุดเด่นสำคัญของศาลเจ้าคือเสาโทริอิสีแดงจำนวน 123 ต้น ที่เรียงกันเป็นทางเดินยาวประมาณ 100 เมตร โดยเสาเหล่านี้ทอดตัวไปตามเนินเขาและลงไปสู่ท้องทะเล ทำให้เป็นภาพที่งดงามและเป็นเอกลักษณ์ เมื่อมองไปที่เสาโทริอิจะเห็นทิวทัศน์ของทะเลที่ส่องแสงระยิบระยับตามชายฝั่ง เสาโทริอิของศาลเจ้าโมโตโนสุมิ อินาริมีลักษณะคล้ายกับศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ ในเกียวโต ที่มีชื่อเสียงเรื่องเสาโทริอิเรียงรายเช่นกัน แต่ที่นี่โดดเด่นตรงที่เสาเหล่านี้อยู่ริมทะเล ที่ทิวทัศน์ของท้องทะเลและเสาโทริอิสีแดงสดเข้ากันได้อย่างลงตัว ศาลแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1955 โดยมีตำนานเล่าว่าชาวบ้านในท้องถิ่นได้รับการดลบันดาลใจจากเทพเจ้าอินาริ ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ การเกษตร และการค้าขาย จึงสร้างศาลเจ้าแห่งนี้ขึ้นมา ในทุกวันนี้คนญี่ปุ่นมักมาที่ศาลเจ้าเพื่อขอพรให้ประสบความสำเร็จในธุรกิจ การเดินทางปลอดภัย และความอุดมสมบูรณ์ ที่นี่มีอีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจก็คือ “กล่องบริจาค” ที่ติดตั้งอยู่บนยอดเสาโทริอิสูงสุดที่อยู่ด้านหน้า ไม่เหมือนกับศาลเจ้าอื่น ๆ ที่กล่องบริจาคจะตั้งอยู่บนพื้น การโยนเหรียญให้ลงไปในกล่องนี้ถือเป็นการขอพรที่ท้าทายและน่าสนุก เพราะผู้ที่โยนเหรียญลงกล่องสำเร็จจะเชื่อกันว่าคำขอพรของเขาจะเป็นจริง

พิกัด https://maps.app.goo.gl/cc3LWtbSK5J3WqE86

 

 

 

9. เกาะโอมิจิมะ (Omijima Island)

Sean Pavone/shutterstock.com

Sean Pavone/shutterstock.com

WorldStock/shutterstock.com

เกาะโอมิจิมะ (Omijima Island) สถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติที่มีชื่อเสียงของภูมิภาคชูโกกุ (Chugoku) เกาะแห่งนี้ถูกขนานนามว่าเป็น “มัตสึชิมะแห่งทะเลญี่ปุ่น” เนื่องจากมีทิวทัศน์ที่สวยงามของหน้าผาหิน ที่มีรูปทรงธรรมชาติที่หลากหลาย และน้ำทะเลใสสะอาด เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับผู้รักการผจญภัย ทั้งการเดินป่าและการล่องเรือชมวิวทะเล โดยเกาะแห่งนี้เป็นเกาะที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำทะเลและลมมากว่าหลายพันปี ทำให้เกิดหน้าผาหินสูงชันและหินรูปร่างแปลกตา ซึ่งเป็นจุดเด่นที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือน สำหรับการชมวิวธรรมชาติบนเกาะสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการเดินเล่นสำรวจพื้นที่ หรือการล่องเรือชมวิวรอบเกาะ หนึ่งในจุดท่องเที่ยวที่โดดเด่นคือหน้าผาหินที่มีรูปร่างคล้ายซุ้มประตูยักษ์ (Arch Rock) และยังเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางถ่ายภาพ นอกจากนี้ทิวทัศน์ของเกาะโอมิจิมะยังเปลี่ยนไปตามฤดูกาล โดยในช่วงฤดูใบไม้ผลิท้องฟ้าจะสดใสและน้ำทะเลเป็นสีฟ้าคราม เหมาะมากกับการล่องเรือชมวิวรอบเกาะ เนื่องจากทะเลและหินจะสะท้อนกับแสงแดดเกิดประกายระยิบระยับ ส่วนในฤดูร้อนเป็นช่วงที่น้ำทะเลใสที่สุด นักท่องเที่ยวสามารถเพลิดเพลินกับการดำน้ำตื้นและเล่นน้ำ รวมถึงกิจกรรมทางทะเลอื่นๆ เช่น การล่องเรือแคนู หรือในฤดูใบไม้ร่วงที่เป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสี และในฤดูหนาวแม้ว่าลมทะเลจะค่อนข้างเย็น แต่ทิวทัศน์ของผาหินและท้องทะเลก็ยังคงมีความงดงาม รวมทั้งฤดูหนาวยังเป็นช่วงเวลาที่เหมาะมากสำหรับการเดินป่าชมวิว

พิกัด https://maps.app.goo.gl/hZEUeiHN9pCodyFn9

 

 

 

10. ศาลเจ้าอะคาม่า (Akama Shrine)

Sanga Park/shutterstock.com

Vassamon Anansukkasem/shutterstock.com

Alon Adika/shutterstock.com

ศาลเจ้าอะคาม่า (Akama Shrine) เป็นศาลเจ้าที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่สนใจในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ศาลเจ้าอาคามะก่อตั้งขึ้นในปี 1185 และมีความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการล่มสลายของตระกูลเฮอิ (Heike) ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญในสงครามเฮอิชิ (Heike Wars) ศาลเจ้าอาคามะได้รับการบูรณะและฟื้นฟูหลายครั้งตลอดระยะเวลาหลายศตวรรษ แต่ยังคงรักษาความสำคัญทางศาสนาและประวัติศาสตร์ไว้ ศาลเจ้าแห่งนี้ยังเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะเป็นสถานที่บูชาเทพเจ้าแห่งการปกป้องและความสำเร็จ โดยเฉพาะเทพเจ้า “ฮิระโทริ (Hiratoko)” เทพเจ้าแห่งความสำเร็จและการปกป้องจากอันตราย ศาลเจ้าอาคามะมีการออกแบบที่สะท้อนถึงสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม อาคารหลักของศาลเจ้าประกอบด้วยโครงสร้างไม้ที่มีหลังคามุงจากและเสาโทริอิ (Torii) ที่เป็นเอกลักษณ์ เสาโทริอิที่ศาลเจ้าจะเป็นสีแดงสด ซึ่งเป็นสีที่เป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องและความโชคดี นอกจากนี้ภายในบริเวณศาลเจ้า มีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่า “มิโซระ (Misora)” ซึ่งเชื่อกันว่าน้ำจากบ่อนี้มีพลังในการชำระล้างและเสริมความโชคดีให้กับผู้ที่มาที่ศาลเจ้า ไม่เพียงเท่านั้นที่นี่ยังมีการจัดแสดงงานศิลปะและวัตถุโบราณที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ซึ่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของศาลเจ้า การมาเยือนที่นี่ไม่เพียงแต่จะได้สัมผัสกับความสำคัญทางศาสนา แต่ยังได้สัมผัสกับบรรยากาศและความงดงามของธรรมชาติที่บริเวณรอบๆ ศาลเจ้าอีกด้วย

พิกัด https://maps.app.goo.gl/dxRzEbvRDb9uHZn78

 

 

 

11. ที่ราบสูงอะคิโยชิได (Akiyoshidai Plateau)

Shawn.ccf/shutterstock.com

Spyan/shutterstock.com

Shawn.ccf/shutterstock.com

ที่ราบสูงอะคิโยชิได (Akiyoshidai Plateau) แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่โด่งดังและสวยงาม เป็นที่รู้จักในฐานะป่าไม้ที่มีความหลากหลายทั้งด้านภูมิศาสตร์ และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ที่ราบสูงอาคิโยชิดาอิมีลักษณะโดดเด่นด้วยหินปูนที่มีอายุหลายล้านปี ที่ก่อตัวขึ้นจากการกัดเซาะของน้ำและลม โดยประกอบไปด้วยพื้นที่ที่มีหินปูนสีขาวเป็นหลัก พร้อมด้วยทิวทัศน์ที่สวยงามของทุ่งหญ้ากว้างใหญ่และมีทิวเขาเป็นฉากหลัง ที่ราบสูงแห่งถูกจัดให้เป็นหนึ่งในสถานที่ที่เหมาะสำหรับการเดินป่า การถ่ายภาพ และการสัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิด รวมทั้งที่นี่ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การเดินป่าที่มีเส้นทางให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่เส้นทางเดินเล่นง่ายๆ ไปจนถึงเส้นทางที่ท้าทาย การเดินป่าจะทำให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับทิวทัศน์และธรรมชาติที่สวยงาม ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติอาคิโยชิดาอิ (Akiyoshidai Natural History Museum) ที่ภายในอาคารพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ธรรมชาติของพื้นที่ รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับการก่อตัวของหินปูน ฟอสซิล และสัตว์ป่าที่อาศัยอยู่ ช่วยให้นักท่องเที่ยวสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิศาสตร์ของที่ราบสูงอาคิโยชิดาอิ ไม่เพียงเท่านั้นที่ราบสูงแห่งนี้ยังสามารถเดินทางมาเที่ยวชมธรรมชาติกันได้ตลอดทั้งปี

พิกัด https://maps.app.goo.gl/j3gwaS6DvnGojCQG9

 

 

 

12. วัดโจเอจิ (Joeiji Temple)

mTaira/shutterstock.com

mTaira/shutterstock.com

mTaira/shutterstock.com

วัดโจเอจิ (Joeiji Temple) ก่อตั้งขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 15 มีความสำคัญในฐานะศูนย์กลางของการปฏิบัติธรรมและการศึกษาเกี่ยวกับพุทธศาสนา วัดโจเอจิมีความโดดเด่นในเรื่องของสถาปัตยกรรมที่สวยงามและการจัดงานพิธีกรรมทางศาสนาที่เป็นเอกลักษณ์ วัดแห่งนี้จึงเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการสัมผัสกับความงามของศิลปะ และการเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ภายในวัดมีสถาปัตยกรรมที่สะท้อนถึงความงามของศิลปะญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม อาคารหลักของวัดประกอบด้วยโครงสร้างไม้ที่มีหลังคามุงจากและเสาโทริอิ (Torii) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้วัดยังมีการตกแต่งด้วยงานไม้แกะสลักและภาพวาดที่สวยงาม หนึ่งในจุดเด่นของวัดโจเอจิคือสวนญี่ปุ่นที่อยู่ภายในบริเวณวัด สวนนี้มีการจัดสวนแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมที่งดงาม โดยมีบ่อน้ำที่เงียบสงบ พืชพันธุ์เขียวชอุ่ม และเส้นทางเดินที่เรียบง่าย ซึ่งช่วยเพิ่มความสงบและความผ่อนคลายให้กับผู้มาเยือนได้เป็นอย่างดี นักท่องเที่ยวที่มาเยือนวัดโจเอจิสามารถทำการขอพรและสวดมนต์เพื่อขอความสุขและความสงบในชีวิต การเข้าร่วมในพิธีกรรมและการสวดมนต์ที่วัดเป็นโอกาสที่ดีในการสัมผัสกับวัฒนธรรมทางศาสนาและจิตวิญญาณของญี่ปุ่น วัดโจเอจิยังเป็นสถานที่ในการเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และศิลปะญี่ปุ่น โดยผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของวัดและการออกแบบสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจ ได้ตามต้องการ

พิกัด https://maps.app.goo.gl/sHBqoZ8dY4nefhaM7

 

 

 


รวม 12 ที่เที่ยว สวย ฮิต ห้ามพลาด ของจังหวัด Kagawa
ภูเขา ชิอุเดะ Mt. Shiude